โรคเบาหวาน เกิดจากการทานอาหารหวานมากเกินไปจริงหรือไม่ คนอ้วนทุกคนต้องเป็นโรคเบาหวานหรือ ไม่ ทุกท่านเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น คงเริ่มสงสัยแล้วว่าตนอาจจะเป็นโรคเบาหวาน เพราะปัจจุบันเราจะพบว่า การบริโภคที่มากเกินความจำเป็นเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ มากมาย ตั้งแต่หัวใจ เบาหวาน ความดัน โรคข้ออักเสบเพราะน้ำหนักตัว มากเกินกว่าจะรับได้ ผู้ป่วยเบาหวานจึงเป็นผู้ป่วยพิเศษที่ต้องการการดูแลทั้งระดับน้ำตาลและไขมัน มิฉะนั้นทั้ง 2 อย่าง จะทำให้เส้นเลือดแข็งและอุดตันเกิดมีโรคแทรกซ้อน เกิดโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ เบาหวานมีหลายประเภทเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงจำเป็นต้องดูแลให้ดี แม้มียารักษาอยู่หลายชนิด แต่เบาหวานทุกประเภท ต้องมีการควบคุมอาหาร ให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ กินอย่างไรไม่ให้น้ำตาลขึ้นเร็ว ไม่ให้น้ำตาลขึ้นสูง ไม่ให้ไขมันขึ้นสูง และไม่ให้น้ำหนักขึ้นมากเกินไปคนเข้าใจว่า เป็นเบาหวานต้องอดอาหารจริงๆแล้วไม่ใช่แต่ต้องระวังในการรับประทานอาหารออกกำลังกายให้พอเหมาะสมกับวัย และสภาพร่างกายเมื่อรู้ว่าอาหารชนิดไหนจะบริโภคได้มากน้อยเพียงไร ก็สามารถบริโภคได้มากน้อยเพียงไร ก็สามารถบริโภคได้ทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป กินอาหารแต่พออิ่ม เลือกผลไม้ที่ไม่หวานแทนขนมระวังน้ำหวาน น้ำอัดลมและเบียร์ ไม่ดื่มมากเกินไปและถ้าดื่มควรงดของหวานมื้อนั้น ในปัจจุบันผู้ป่วยโรคเบาหวาน มักจะมีปัญหาไขมันสูงตามมา แสดงว่ามีปัญหาในการกำจัดไขมันจากเลือด หรือไม่สามารถนำไปใช้ให้หมดได้ ดังนั้นสมาคมเบาหวานของหลายประเทศ รวมทั้งของไทยด้วย ต้องการให้ผู้ป่วยจำกัดการบริโภคไขมัน หากไม่กินอาหารเลยก็จะเกิดอาการน้ำตาลต่ำ ทำให้ใจสั่น เหงื่อแตก เป็นลม หรือหมดสติไปได้ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และอาหารทางการแพทย์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยเสริมสุขภาพให้ผู้ป่วยเบาหวานโดยเฉพาะ
🔴 โปรตีน
เท่าที่มีข้อมูลในปัจจุบัน ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับโปรตีนเท่ากับบุคคลทั่วไป คือประมาณร้อยละ 10 ถึง 20 ของพลังงานที่ได้รับตลอดทั้งวัน และควรได้รับโปรตีนทั้งที่มาจากสัตว์และพืช เมื่อผู้ป่วยมีไตเสื่อมสภาพ ควรลดการรับประทานโปรตีนลง การศึกษาหลายรายงาน พบว่าการจำกัดโปรตีนลงเหลือ 0.6 กรัม ต่อน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมต่อวันชะลอการเสื่อมของ GFR ได้บ้างแต่ก็มีรายงานที่ศึกษาผลการควบคุมอาหารที่มีต่อโรคไตไม่พบประโยชน์ของ การจำกัดโปรตีนในอาหารการศึกษานี้มีผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิด 2 อยู่ร้อยละ 3 โดยสรุป ข้อมูลขณะนี้แนะนำให้ผู้ป่วยที่มีโรคไต รับประทานโปรตีนตาม FDA คือ 0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับในหนึ่งวัน แต่เมื่อค่า GFR เริ่มลดลงควรลดโปรตีนลงเป็น 0.6 กรัม ต่อน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมต่อวัน สิ่งที่พึงระวัง คือปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรง เนื่องจากขาดสารอาหารและการรับประทานอาหารที่จำกัดโปรตีน ควรได้รับการดูแลใกล้ชิดโดยนักโภชนาการที่มีความชำนาญ
🔴 ไขมัน
ผู้ป่วยควรได้รับพลังงานไขมันร้อยละ 10-20 ของพลังงานทั้งหมด พลังงานที่เหลือ อีกร้อยละ 80 ควรได้รับจากคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน สัดส่วนของไขมันและคาร์โบไฮเดรตขึ้นกับภาวะของตัวผู้ป่วย และเป้าหมายในการรักษา พลังงานที่ผู้ป่วยควรได้รับจากไขมันขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ระดับไขมันชนิดต่างๆ ในเลือดของผู้ป่วย เป้าหมายในการควบคุมน้ำตาลกลูโคส ไขมัน และน้ำหนักตัว ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวและระดับไขมันในเลือดปกติ บุคคลที่อายุมากกว่า 2 ปี ควรจำกัดไขมันในอาหารให้น้อยกว่า ร้อยละ 20 ของพลังงานรวมทั้งวัน และไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าร้อยละ 10 ไขมันชนิด Polyunsaturated น้อยกว่าร้อยละ 10 และไขมันชนิด monounsaturated ร้อยละ 10-15 หากผู้ป่วยมีปัญหาไขมันชนิด LDL-cholesterol ควรรับประทานไขมันชนิด saturate น้อยกว่าร้อยละ 7 และ cholesterol น้อยกว่าวันละ 200 มิลลิกรัม ทั้งนี้ยกเว้นไขมันชนิด polyunsaturated ในกลุ่ม omega 3 ซึ่งมีมากในปลาและอาหารทะเล ซึ่งรับประทานได้ตามปกติ ผู้ที่อ้วนและต้องลดน้ำหนักตัว ควรลดการรับประทานไขมันลง โดยอาจแนะนำให้ทานอาหารประเภทผักและผลไม้ และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยยับยั้งการเปลี่ยนแป้ง ข้าว น้ำตาล ไม่ให้กลายเป็นไขมันสะสม ตามร่างกาย เช่น สารสกัดจากผลส้มแขกเป็นต้น ผู้ที่มีปัญหา ไขมันชนิด triglyceride สูงควรรับประทานไขมันไม่อิ่มตัวชนิด monosaturated เพิ่มขึ้นปานกลาง เพิ่มการรับประทานคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น ควรรับประทานไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าร้อยละ 7 ทั้งนี้ต้องระวังไม่ให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามมา แต่เมื่อใดที่ระดับไขมัน triglyceride ในเลือดสูงเกิน 1,000 มิลลิกรัม/คล. จำเป็นต้องลดการบริโภคไขมันทุกชนิดลง ให้น้อยกว่าร้อยละ 10 นอกเหนือจากการรับประทานยา เพื่อป้องกันโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดตับอ่อนอักเสบการรับประทานไขมันชนิดอิ่มตัว และ cholesterol ลดลง ช่วยลดโอกาสเสี่ยง โรคหลอดเลือดหัวใจได้ เพราะโรคเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
🔴 เส้นใยอาหาร
เส้นใยอาหารช่วยรักษาและป้องกันท้องผูก และโรคระบบทางเดินอาหารอื่นๆ เช่นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยให้รู้สึกอิ่มและช่วยลดระดับไขมันเป็นเลือดได้ ผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานควรได้รับเส้นใยอาหารเท่ากับคนธรรมดาคือ 20-35 กรัมต่อวัน เส้นใยอาหารบางชนิดสามารถลดการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสจากทางเดินอาหาร แต่ผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่มีความสำคัญในทางคลินิก สำหรับสารอาหารบางตัวที่ขาด ซึ่งมีข้อยกเว้นในกรณีที่ผู้ป่วยขาด chromium เรื้อรัง เช่นผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทางสายยางเป็นเวลานาน การเสริม chromium จึงเกิดประโยชน์