หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักกับภาวะกระดูกพรุนว่า มักเกิดกับผู้สูงอายุที่เป็นสตรีสูงวัย แต่เหตุใดจึงต้องเกิดกับผู้หญิง และกระดูกมันจะพรุนได้อย่างไร แล้วมันหายไปไหนเรามีคำตอบให้กับคุณ ๆ กัน
กระดูกพรุน (Osteoporosis) คือภาวะที่เนื้อกระดูกบางลง เนื่องจากมีการสร้างกระดูกน้อยกว่าการทำลายกระดูกจึงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้ง่ายแม้ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุแค่เพียงเล็กน้อย เช่น การลื่นหกล้ม โดยบริเวณกระดูกที่ได้รับผลกระทบได้ง่ายคือ กระดูกสันหลัง สะโพก กระดูกข้อมือ ข้อเข่า และผลที่ตามมาก็คือ ผู้สูงอายุเหล่านั้นอาจต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จนเกิดแผลกดทับตามมาและนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด
พอมาถึงจุดนี้ หลายคนก็ยังอาจจะสงสัยอีกว่า ทำไมอยู่ดีๆ กระดูกจึงถูกทำลายได้ แท้จริงแล้ว สิ่งที่ถูกดึงออกไป จากเนื้อกระดูกก็คือ ธาตุแคลเซียม อันเป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อกระดูกที่แข็งแรงและยังจำเป็นต่อการทำงานของทุกระบบในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอกับความต้องการต่อวันจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติตาม โดยปกตินั้นกระดูกของเราจะมีค่ามวลกระดูกสูงสุด (Peak Bone Mass) ในช่วงวัยรุ่นไปจึงถึงอายุ 25-30 ปี และหลังจากอายุ 35-40 ปีเป็นต้นไป ระดับมวลกระดูกจะเริ่มลดลงอย่างช้าๆ ประมาณ 0.5-1% ต่อปี ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายแต่สำหรับในผู้หญิงนั้นจะมีปัจจัยในเรื่องของฮอร์โมนเพศที่ลดลงอย่างชัดเจนในช่วงประมาณ 5 ปี ก่อนหมดประจำเดือน ซึ่งระดับฮอร์โมนเพศหญิงที่ลดลงนั้นจะเป็นเสมือนตัวเร่งให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกประมาณ 3-5% ต่อปี ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้สูงอายุที่เป็นสตรี จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนมากที่สุด
การป้องกันภาวะกระดูกพรุน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งแร่ธาตุแคลเซียมถือว่าเป็นแร่ธาตุหลักที่ส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูกแก่ก็มิใช่ว่าคุณจะประโคมแคลเซียมเสริมหรือให้ผู้สูงอายุที่ดื่มนมเป็นแกลลอนๆ ต่อวันเพราะร่างกายมีขีดความสามารถในการรับแคลเซียมต่อวัน อีกทั้งยังต้องพิจารณา ถึงสภาพร่างกายของแต่ละคนด้วย เช่น มีโรคประจำตัว อาทิ โรคไต ที่ไม่สามารถรับแคลเซียมส่วนเกินออกหรือบางรายมีปัญหาเรื่องกรดในกระเพราะอาหารน้อย การรับประทานแคลเซียมในรูปของเกลือคาร์บอเนต (Carbonate salt) อาจเกิดปัญหาเรื่องการดูดซึมและการนำไปใช้ประโยชน์ ซึ่งในกรณีนี้ การรับประทานแคลเซียมในรูป เกลือซิเตรท (Citrate) หรือ ซิเตรทมาเลท (Citrate matate) น่าจะมีความเหมาะสมมากกว่า
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของเนื้อกระดูก เช่น การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การขาดวิตามินดี จากแสงอาทิตย์ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมรวมไปถึงการดื่มน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของกรดฟอสฟอริก (Phosphoric) ที่ต้องอาศัยการดึงแคลเซียมในเนื้อกระดูกออกมาเพื่อสะเทินฤทธิ์ (Noutralize) ของฟอสฟอรัสส่วนเกิน เป็นต้น
ดังนั้นเราจึงอยากให้ท่านรับประทานแคลเซียมอย่างน้อย 800 มิลลิกรัม/วัน เสมือนเป็นการฝากแคลเซียมให้กับคลังกระดูกของคุณ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดกระดูกพรุนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง