เตาอบไมโครเวฟ
เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วนั้นร่างกายของคนเราคือสภาพการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้า ดังนั้นปรากฏการณ์ดังกล่าวที่เป็นการรบกวนหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ ภายในร่างกายมนุษย์จะทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายในด้านสรีรวิทยาสิ่งนี้ได้ถูกกล่าวไว้ในหนังสือชื่อ The Body Electric เขียนโดย Robert O. Becker และ Warning the electricity around you may be hazardous to your health เขียนโดย Elen Sugaman ข้อมูลจากหนังสือเหล่านี้ยังคงเป็นข้อถกเถียงอยู่แต่ก็เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดของข้าพเจ้า ในการค้นคว้าหาข้อมูลในครั้งนี้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เก็บไว้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการป้องกันตัวเอง
เตาอบไมโครเวฟได้ถูกคิดค้นและพัฒนาสร้างขึ้นโดยกองทัพนาชีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้ในการทำอาหารในกองกำลังปฏิบัติการทางการทหารที่อยู่ห่างไกลหรือยู่ระหว่างเดินทาง การค้นคว้าทางการแพทย์เกี่ยวกับเตาอบไมโครเวฟของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันได้ถูกค้นพบขึ้นโดยกลุ่มประเทศพันธมิตรภายหลังสงครามยุติ หลักฐานชิ้นนี้ได้ถูกส่งไปยังกรมการทหารของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ถูกจัดให้เป็นหลักฐานการอ้างอิงและการสอบสวนทางวิทยาศาสตร์ ในขณะเดียวกันสหภาพโซเวียต (หนึ่งในกลุ่มประเทศพันธมิตร) ก็ได้นำเตาอบไมโครเวฟจากประเทศเยอรมัน เช่นกัน และนำกลับไปยังสหภาพโซเวียต ต่อมาภายหลังได้ทำการค้นคว้าอย่างจริงจังเกี่ยวกับผลกระทบทางชีววิทยาและสิ่งแวดล้อมจากการใช้เตาอบไมโครเวฟและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดที่มีคลื่นความถี่เดียวหรือใกล้เคียงกับเตาอบไมโครเวฟ และจากผลการวิจัยของสหภาพโซเวียตทำให้สหภาพโซเวียต ออกประกาศเตือนอย่างชัดเจนถึงอันตรายต่อสุขภาพของการใช้เตาอบไมโครเวฟ ในขณะเดียวกันกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรปตะวันออกก็ได้รายงานถึงอันตรายที่เกิดขึ้น การแผ่คลื่นรังสีจากเตาอบไมโครเวฟ และยังได้ระบุอย่างชัดเจนถึงขอบเขตของปริมาณรังสีที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย (for reasons not related to health, USA has not accepted European reports of microwave’s harmful effects.) ด้วยเหตุผลต่างๆ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ สหรัฐอเมริกาไม่ใส่ใจต่อรายงานของทางยุโรปที่แสดงถึงอันตรายของเตาอบไมโครเวฟ
นอกจากการใช้เตาอบไมโครเวฟในการปรุงอาหารก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่รับประทานอาหารแล้ว ผู้ใช้ยังได้รับรังสีไมโครเวฟ และคลื่นแม่เหล็กที่มีความถี่สูงมากซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายต่อการเปลี่ยนแปลงทางเคมีต่างๆ ภายในร่างกาย (รวมไปถึงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการแผ่คลื่นความถี่สูงทุกชนิด) เตาอบไมโครเวฟสามารถแผ่รังสีออกมา 2 ชนิด ได้แก่ รังสีไมโครเวฟ หรือคลื่นวิทยุความถี่สูง และคลื่นวิทยุความถี่สูง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความถี่ 60 Hz โดยมีการแผ่คลื่นรังสีเหล่านี้มาจากตัว transformer ทางด้านหลังของเตาอบ โดยจุดที่อันตรายที่สุดคือบริเวณฝาที่ใช้เปิดปิดเนื่องจากเป็นจุดที่จะมีการรั่วไหลของรังสีไมโครเวฟได้มากที่สุด ส่วนคลื่นแม่เหล็กจะเกิดขึ้นบริเวณรอบเตาอบไมโครเวฟตลอดเวลาที่มีการใช้งาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องควรระวังสำหรับเด็กๆ ที่มักจะมองอาหารที่หมุนอยู่ภายในตู้ระหว่างที่เตาอบทำงานผลกระทบอีกด้านหนึ่งของอาหารที่ปรุงให้สุกโดยใช้เตาอบไมโครเวฟคือ อาหารบางส่วนจะถูกแปรสภาพให้เป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการรั่วไหลของสารพิษจากบรรจุภัณท์ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุลของสารอาหารให้กลายเป็นสารก่อมะเร็งโดยตรงและคุณค่าของสารอาหารที่ลดลงในปริมาณมากจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่รับประทานอาหารที่ปรุงสุกโดยเตาอบไมโครเวฟ หรือ ผู้ที่อยู่ภายในบริเวณที่มีการแผ่รังสี ของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคลื่นความถี่สูงอย่างสม่ำเสมอ ขอให้ทุกท่านลองไปคิดทบทวนดู
สารก่อมะเร็งในอาหารที่เกิดจากการใช้เตาอบไมโครเวฟ ต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่เกิดจากการค้นคว้าของสหภาพโซเวียต ถูกตีพิมพ์โดย Atiantis Rising Education Center เมือง Portland รัฐ Oregon ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสารก่อมะเร็งที่ถูกก่อขึ้นในอาหารทุกชนิดที่ใช้ในการทดสอบจากการปรุงอาหารโดยการใช้เตาอบไมโครเวฟที่ทำการทดสอบโดยชาวรัสเซียมีดังต่อไปนี้
– เนื้อสัตว์ที่ถูกปรุงให้สุกเพื่อการรับประทานจะเกิดการก่อตัวของสารที่เรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า d-Nitrosodiethanolamines หรือ ที่รู้จักกันดีว่าเป็น สารก่อมะเร็ง
– กรดอะมิโนในนมและธัญพืชที่ถูกอุ่นให้ร้อนโดยเตาอบไมโครเวฟจะถูกแปลงไปเป็นสารก่อมะเร็ง
– การให้ความร้อนกับผลไม้แช่แข็ง จะทำให้สารประกอบภายในที่เป็นน้ำตาลและแป้งที่เรียกว่า Gluoside และ Galactyoside เมื่อถูกกระบวนการ Hydrolysis จะถูกแปลงไปเป็นสารก่อมะเร็ง
– การให้ความร้อนที่สูงมากและเป็นเวลาสั้นต่อผักที่สด หรือสุกแล้ว หรือแช่แข็ง จะทำให้อินทรีย์สารของพืช(ที่ประกอบด้วยไนโตรเจน) ถูกเปลี่ยนสภาพไปเป็นสารก่อมะเร็ง
– การปรุงผักให้สุกโดยเฉพาะผักที่มีราก จะเป็นการรวมกลุ่มธุาติของสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งเข้าด้วยกัน ปฏิกิริยานี้จะเกิดมากที่รากของพืชนั้นๆ
จากการรายงานผลการวิจัยของ lancet ปี 1989 เดือนธันวาคมกล่าวว่าการใช้ความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟในการชงนมให้แก่เด็กทารกนั้นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของกรดอะมิโน trans ให้อยู่ในรูปแบบของกรดอะมิโน (cis – isomer) ผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านเคมีชีววิทยา แต่ที่ค้นพบมากกว่านั้นคือกรดอะมิโนชนิดหนึ่งชื่อ L-proline จะถูกเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีไปเป็นแบบ D-isomer ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า โครงสร้างชนิดนี้เป็นอันตรายต่อระบบสมองและไต เป็นเรื่องที่แย่ ที่เด็กจำนวนมากในปัจจุบันไม่ได้ดื่มนมจากมารดาตามธรรมชาติในทางกลับกันพวกเขาต้องดื่มนมผงสำเร็จรูปที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและที่แย่ไปกว่านั้นคือเป็นการให้ความร้อนที่ผ่านการอุ่นจากเตาอบไมโครเวฟ
คุณค่าของสารอาหารที่ลดลงจากการให้ความร้อนโดยคลื่นไมโครเวฟ จากการรายงานของกลุ่มนักวิจัยชาวรัสเซียที่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีทางอาหารอย่างรวดเร็วเป็นสาเหตุของการลดลงของคุณค่าอาหาร 60-90% มีดังต่อไปนี้
– ลดคุณค่าของสารอาหารตามธรรมชาติของวิตามินบีคอมแพลกซ์วิตามินซี วิตามินอี แร่ธาตุที่สำคัญ และประสิทธิภาพการป้องกันการสะสมของไขมันในตับในอาหารทุกประเภท
– ทำลายสารประกอบที่สำคัญหลายชนิดที่อยู่ในผัก เช่น Alkaloids, Glucosides, Galactosides, Nitriflosides
– ทำลายสารประกอบโปรตีน (โดยเฉพาะ DNA) ในเนื้อสัตว์
การรั่วไหลของสารเคมีจากบรรจุภัณฑ์สู่อาหารเมื่อใช้ไมโครเวฟ Nutrition Action Newsletter เดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 1990 ได้รายงานผลงานเกี่ยวกับการรั่วไหลของสารพิษในปริมาณมากจากบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุที่ไวต่อความร้อนที่ใช้กับอาหารที่นิยมปรุงโดยใช้เตาอบไมโครเวฟ เช่น พิชช่า เฟรนซ์ฟราย ป๊อปคอร์น และอาหารอีกหลายชนิดที่ต้องการความร้อนทำให้กรอบ ข้อเท็จจริงของการปรุงอาหารโดยใช้เตาอบไมโครเวฟคือ อาหารไม่สามารถสุกและกรอบได้โดยตู้อบแต่สิ่งที่ช่วยทำให้อาหารสุกได้คือบรรจุภัณฑ์ข้างต้น ซึ่งประกอบไปด้วยวัสดุที่มีลักษณะบางและมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นคือแผ่นบางกลมสีเทาของพลาสติกที่ผสมโลหะที่จะช่วยดูดความร้อน (พลังงานความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟ) ได้ดีมากขึ้น และเปลี่ยนผิวหน้าของบรรจุภัณฑ์ให้เป็นเหมือนกระทะที่มีขนาดเล็กมากและร้อนจัด อันนี้แหล่ะที่เป็นปัญหา มีสารเคมีปลายตัวที่สามารถใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ดังกล่าวได้ ซึ่งผู้ผลิตต้องได้รับการอนุมัติและตรวจสอบจากสำนักงานอาหารและยา (อย.) แต่สิ่งหนึ่งที่นึกไม่ถึงก็คือตัวรับความร้อนในบรรจุภัณฑ์นั้นสามารถทนต่อความร้อนได้ถึง 300-500 องศาฟาเรนไฮต์ในเตาอบไมโครเวฟ ในปี 1998 (อย.) ได้ทำการทดสอบวัสดุประเภทนี้โดยผลที่ได้ก็คือทุกๆ บรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุรับความร้อนดังกล่าวจะปล่อยสารเคมีสู่อาหารในขณะที่กำลังได้รับความร้อนสูง สารเคมีดังกล่าวได้แก่ สารก่อมะเร็งต่างๆ ที่รู้จักกันดีชื่อ polyethylene terpthalate benzene toluene xylene ซึ่งส่งผลให้ต่อมา อย. จึงได้ขอให้ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ดังกล่าวให้แสดงชนิดของสารเคมที่ใช้ในการผลิตและแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณของสารเคมีที่ถูกถ่ายเทไปสู่อาหารที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ชอบมั่วนิ่มว่าไม่เป็นอันตราย (no health hazard) ผู้บริโภคเอ๋ย อะไรมันจะซวยขนาดนั้น
การทำการสำรวจการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดโรคสำหรับผู้ที่บริโภคอาหารที่ปรุงโดยเตาอบไมโครเวฟ ได้มีการสำรวจการเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาทางเคมีของเลือดในคนที่กินอาหารที่ผ่านการปรุงโดยไมโครเวฟซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคที่พบบ่อยต่างๆ ต่อไปนี้
– การทำงานที่ผิดปกติของต่อมน้ำเหลืองซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งในร่างกายลดลง
– การเกิดของเซลล์มะเร็งในเลือดจะมีอัตราการเพิ่มขึ้น
– เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
– เกิดการทำงานที่ผิดปกติของกระบวนการย่อยอาหารและจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพจนร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารได้อีก (ขยายความนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ เหมือนต้นไม้รากเน่าแหละครับ)
การแผ่รังสีของคลื่นไมโครเวฟจากแหล่งต่างๆ
โรคจากไมโครเวฟ
กลุ่มนักวิจัยชาวรัสเซียได้ทำการสำรวจปริมาณรังสีของเจ้าหน้าที่แผนกรังสีหลายพันคนที่ร่างกายได้รับคลื่นไมโครเวฟอย่างต่อเนื่องในยุคของการคิดค้นและพัฒนาของเครื่องมือตรวจจับการแผ่รังสีของคลื่น (เรดาร์) ในปี 1950 ผลจากการค้นคว้าได้แสดงว่ามีปัญหาทางด้านสุขภาพอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นต่อบุคคลเหล่านั้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องระบุไว้อย่างชัดเจนถึงปริมาณรังสีที่เจ้าหน้าที่เฉพาะด้านรังสีสามารถรับได้สูงสุดคือ 10 microwatt ต่อหนึ่งคนและเพียงแค่ 1 microwatt สำหรับคนธรรมดาทั่วไป ในหนังสือของ Becker ก็ได้กล่าวถึงการค้นคว้าในเรื่องนี้หรือที่นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียเรียกว่า “โรคจากไมโครเวฟ” เช่นเดียวกัน Becker ได้กล่าวถึงสัญญาณแรกของความผิดปกติทางร่างกายที่เกิดขึ้นที่อาจเป็นสัญญาณของการเกิดโรคจากไมโครเวฟคือ ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจต่ำ ลักษณะต่อมาที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคืออาการที่เกิดจากการที่ระบบประสาทซิมพาเทติกถูกกระตุ้น (อาการเครียดอย่างรุนแรง) เป็นผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น รวมไปถึงอาการต่างๆ ดังต่อไปนี้ที่จะเกิดขึ้นอย่างเรื้อรัง เช่น ปวดหัว มึนหัว ปวดตา นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย กังวล ปวดท้อง สมาธิสั้น ผมร่วง ไส้ติ่งอักเสบ ต้อกระจก ปัญหาการตั้งครรภ์ และมะเร็ง อาการเรื้อรังที่เกิดขึ้นของโรคเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ต่อมหมวกไตไม่ทำงาน และหัวใจขาดเลือด และอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
สาเหตุของการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากการรับการให้เลือดที่ผ่านกระบวนการให้ความร้อนจากเตาไมโครเวฟ
ในปี 1991 ได้มีคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้ป่วยรายหนึ่งของโรงพยาบาล Oklahoma ชื่อนาง Norma Levitt สาเหตุของการเสียชีวิตคือเธอได้รับการให้เลือดหลังจากการเข้ารับการผ่าตัดสะโพก ซึ่งโดยปกตินั้น เลือดที่จะนำมาถ่ายเทสู่ร่างกายมนุษย์นั้นต้องเป็นเลือดที่อุ่นเท่านั้น แต่นางพยาบาลผู้ที่ทำการถ่ายเทเลือดให้ ได้ทำการให้ความร้อนกับเลือดโดยการนำไปอุ่นในเตาอบไมโครเวฟก่อน เรื่องน่าเศร้านี้ได้ถูกเปิดเผยขึ้นภายหลังว่าสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตคือเลือดที่ถูกให้ความร้อนนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีจนกลายเป็นสารที่มีอันตรายถึงชีวิต