โรคกระดูกพรุนหรือกระดูกโปร่งบาง จะมีปริมาณเนื้อกระดูกลดลง และโครงสร้างภายในของกระดูกเปลี่ยนแปลง ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดน้อยลง เกิดกระดูกหักได้ง่ายขึ้น ในระยะแรกผู้ป่วยมักจะปกติดีจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุทำให้มีกระดูกหักเกิดขึ้น ทั้งที่เป็นอุบัติเหตุไม่รุนแรง เช่น ลื่นล้ม หรือ ตกเก้าอี้ แล้วเกิดกระดูกข้อมือหัก

โรคกระดูกพรุนพบได้บ่อยเป็นลำดับที่ 2 รองจากโรงข้อเสื่อม โดยที่ไม่แสดงอาการผิดปกติ ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้ถึงร้อยละ 30-40 ขณะที่ผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคนี้เพียงร้อยละ 10 และพบว่าในผู้หญิงไทยอายุ 55 ปีเป็นโรคนี้ ร้อยละ 20 แต่ใน ผู้หญิงที่อายุมากกว่า 65 ปี เป็นโรคนี้ถึงร้อยละ 60 จะเห็นว่าทุกคนมีโอกาสที่จะมีโรคกระดูกพรุนแอบแฝงอยู่การสูญเสียเนื้อกระดูก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถ เปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิมได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การป้องกัน และรักษาตั้งแต่เริ่มแรกก่อนจะเกิดกระดูกหัก ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนก็คือ ได้รับแคลเซียมน้อยเกินไป อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น น้ำนม กุ้งแห้ง กะปิ ผักใบเขียว ปลาเล็กปลาน้อยที่กินได้ทั้งตัว เต้าหู้เหลือง น้ำเต้าหู้ หรืออาหารจานเดียว เช่น ข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๋วใส่ไข่ ข้าวราดไก่ผัดกระเพรา ขนมจีนน้ำยา เป็นต้น

อย่างไรก็ตามถ้าได้รับแคลเซียมจากแหล่งอาหารประจำวันอย่างพอเพียง ก็ไม่จำเป็นต้องได้แคลเซียมเสริม นอกจากบางคนอาจได้แคลเซียมจากอาหารไม่พอเพียงหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนอย่างชัดเจน ถ้าได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอนานประมาณ 18 เดือน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักได้ ในผู้สูงอายุ ควรได้รับ แคลเซียม ร่วมกับ ฮอร์โมนเอสโตรเจน แคลซิโทนิน หรือวิตามินดี ซึ่งจะช่วยให้แคลเซียมถูกดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น วิตามินดี ส่วนใหญ่ ได้รับจากแสงอาทิตย์(ช่วงเข้า และเย็น) และอาหารที่ค่อนข้างเพียงพอ ยกเว้นในผู้สูงอายุที่อยู่ในบ้าน ไม่ค่อยได้ออกไปตากแดด ทำให้ในผู้สูงอายุบางรายขาดวิตามินดี อาจต้องทานวิตามินดีเสริมด้วย

การเลือกชนิดของแคลเซียมเสริม

ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อจะเลือกใช้แคลเซียมเสริมได้แก่

1. ชนิดและปริมาณของเกลือแคลเซียม จะทำให้ร่างกายได้รับแตกต่างกันไป เช่น
แคลเซียมคาร์บอเนต (calcium carbonate) ได้รับแคลเซียมร้อยละ 40
แคลเซียมซิเตท (calcium citrate) ได้รับแคลเซียมร้อยละ 21
แคลเซียมแลคเตท (calcium lactate) ได้รับแคลเซียมร้อยละ 13
แคลเซียมกลูโคเนต (calcium gluconate) ได้รับแคลเซียมร้อยละ 9

2. ความสะดวกในการกิน จำนวนเม็ดที่ต้องกินในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับปริมาณแคลเซียมที่ต้องการ ถ้าเป็นยาที่มีแคลเซียมต่ำ เม็ดยาที่ต้องกินก็จะต้องมากขึ้น ทำให้ไม่สะดวก และทำให้ความสม่ำเสมอ ในการกินแคลเซียมน้อยลง

3. ราคาของยาเม็ดแคลเซียมแตกต่างกันมาก โดยทั่วไป ยาเม็ดธรรมดาจะราคาถูกกว่ายาเม็ดแคปซูล ส่วนยาเม็ดฟู่จะราคาแพงที่สุด สำหรับผู้สูงอายุที่อาจมีปัญหาการดูดซึมของยาอาจจำเป็นต้องใช้แบบเม็ดฟู่

4. ส่วนผสมอื่นๆ ในยาเม็ดแคลเซียม เช่นวิตามินดี วิตามินซี แร่ธาตุ อื่นๆ ในผู้ที่ขาดสารเหล่านี้ ก็จะได้ประโยชน์เพิ่มเติม แต่ผู้ที่ไม่ขาดสารเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นเพราะยาเม็ดแคลเซียมที่มีส่วนผสมเสริมจะมีราคาแพงขึ้นไปด้วย