ความคิดเห็นส่วนตัว ในฐานะแพทย์ที่ทำการรักษาคนไข้มานาน 25 ปี พร้อมด้วยบางตัวอย่างของคนไข้บางรายที่พอกล่าวอ้างถึงได้ แนวทางของธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือกเป็นแนวทางการรักษาที่มีประโยชน์สูงสุดแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นแนวทางการรักษาที่มีประโยชน์สูงสุดแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นแนวทางการรักษาที่ยากที่สุดด้วย เพราถ้าใครบอกว่าจุดเด่นที่สุดของมันคือการแก้ไขที่ต้นเหตุของโรค อันนี้แหล่ะก็จะเป็นจุดด้อยที่สุดด้วย เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ยอมแก้ไขตัวเอง ในแนวทางของธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือกสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยเกิดจาก “การกินที่ผิดๆ” และ “การปฏิบัติตัวที่ผิดๆ” ทั้งนั้น มีกี่คนที่สามารถเลิกกินของอร่อยของตัวเองได้มีกี่คนที่สามารถเลิกนิสัยที่ถนัดและชอบของตัวเองได้ด้วยเหตุผลแค่ 2 ข้อนี่แหล่ะก็ทำให้ธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือกตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างอะไรกับการรักษาแผนปัจจุบัน คือ ผลของการรักษาดีบ้างไม่ดีบ้าง (เพราะถ้าคนป่วยไม่ปฏิบัติยังไงมันก็ไม่ได้ผล) ในแนวทางของธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือกแพทย์เป็นเพียงผู้ชี้หรือแนะแนวทางที่ถูกต้องให้ผู้ป่วยปฏิบัติเท่านั้น และในบางครั้งอาจช่วยตอบคำถาม ข้อสงสัยที่เกิดจากการปฏิบัติของผู้ป่วย ที่เหลือจากนี้ผู้ป่วยต้องเป็นผู้ปฏิบัติเองทั้งหมด คราวนี้หันมาดูจุดด้อยของฝั่งผู้ให้คำแนะนำ (แพทย์/ผู้เชี่ยวชาญทางธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือก) กันบ้าง แต่ละคนจะมีหลักการและข้อแนะนำต่อผู้ป่วยแตกต่างกันอย่างมาก เช่น บางคนบอกว่ากินผลไม้ “ได้” บางคนบอกว่า “ไม่ได้” บางคนบอกผู้ป่วยมะเร็งว่า “กินปลาได้ อาจมีรายละเอียดอีกว่ามีเกล็ดหรือไม่เกล็ด” บ้างก็บอกว่า “ไม่ได้” ยังมีเป็นร้อยๆ เรื่องที่เต็มไปด้วยความสับสนแบบนี้ ทำไมจึงเป็นแบบนี้ คำตอบ คือว่า ธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือกเพิ่งเริ่มได้รับการยอมรับบ้างเมื่อประมาณ 10 ปีกว่ามานี่เอง และที่อาจทำให้หลายๆคนงงๆ และสงสัยแนวทางการรักษาธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือก ก็คือ ผู้ป่วยจะมาด้วยโรคอะไรก็ตาม เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ ข้อเสื่อม เบาหวาน ภูมิแพ้ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีการรักษาพื้นฐานเหมือนๆกันทั้งนั้น เกือบใช้คำว่า “เกือบทุกโรครักษาเหมือนกันหมด” เพราะธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือกแก้ไขโรคโดยเน้นการปรับปรุงร่างกายทั้งระบบทั้งตัว ทำให้คนที่ชินกับการรักษาแผนปัจจุบันที่มีการแยกการรักษาแต่ละโรคอย่างชัดเจน ไม่เชื่อถือธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือก อีกทั้งแต่เดิมข้อมูลต่างๆของธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือกเป็น ข้อมูลที่เกิดจากการเล่าปากต่อปาก เป็นข้อมูลที่บันทึกอยู่ในหนังสือเก่าๆ ตำราเก่าๆ ไม่ได้บอกถึงเหตุผลว่าทำไมต้องอย่างนั้นทำไมต้องอย่างนี้ การวินิจฉัยโรคก็ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจหรือยอมรับได้ เช่น การจับชีพจรของแพทย์จีนโบราณ การดูใบหน้า แล้ววินิจฉัยโรคเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้คนทั่วไปที่เข้าไม่ถึง คิดว่าเหมือนการเดาส่งเดชมากกว่า ทำให้นักวิชาการรุ่นใหม่เกิดข้อถกเถียงอย่างมาก ว่าข้อมูลเหล่านี้เชื่อถือได้แค่ไหน ประกอบกับแพทย์แผนปัจจุบันมีเอกสารอ้างอิง มีเหตุผลรองรับ ทำให้แทบไม่มีใครให้ความสำคัญที่จะศึกษาค้นคว้าธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือก ตราบจนแพทย์แผนปัจจุบันเจอทางตันหลายๆเรื่อง ทำให้คนเริ่มหันกลับมามองธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือก เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น ในสหรัฐอเมริกาเองก็มีสาขาแพทย์ใหม่เกิดขึ้น เช่น

1. Integrated medicine (การแพทย์ผสมผสานโดยใช้การรักษาทั้ง 2 แบบมาร่วมกันทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือก) แพทย์ที่มีชื่อเสียงในกลุ่มนี้ได้แก่ Leo Galland M.D., Sidney Baker M.D.
2. Functional medicine เน้นการวินิจฉัยโดยใช้ไฮเทคโนโลยี แต่รักษาโดยใช้โภชนาการและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเป็นหลัก หัวหน้ากลุ่มนี้ได้แก่ Jeffrey Bland Ph.D.
3. Cellular medicine เน้นที่การทำงานระดับเซลล์ เช่น จะรักษามะเร็ง ก็เข้าไปดูว่าเซลล์มะเร็งลุกลามได้อย่างไร แล้วก็เข้าไปขัดขวางปฏิกิริยาที่ระดับเซลล์นั้นเลย หัวหน้ากลุ่มนี้ได้แก่ Mathise Path M.D. ฯลฯ

และทั้งหมดก็จัดอยู่ในกลุ่มแพทย์ทางเลือก (alternative medicine) เพราะฉะนั้นหลักเกณฑ์ต่างๆ ในธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือก จึงยังคงแตกต่างกันพอสมควรคงต้องใช้เวลาอีกซักพักว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนกว่านี้ครับ ตัวผมเองอ่านหนังสือหลายต่อหลายเล่ม ลองปฏิบัติหลายร้อยวิธี ในบางโรคก็มีผู้ป่วยหลายร้อยคนช่วยกันปฏิบัติ ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปบางอย่างที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อคนทั่วไปที่สนใจเรื่องสุขภาพ เขาเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องมาลองผิดลองถูกในบางประเด็นแบบผู้ป่วยของผมและตัวผมเอง แต่จะอย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นแค่แนวทางเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้กันทุกคน 100% เพราะอย่าลืมข้อเท็จจริงที่ว่า “ทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครที่เหมือนกัน เราเพียงแต่เป็นคนที่คล้ายๆกันเท่านั้น” ต้องคอยสังเกตว่าเมื่อปฏิบัติแล้วมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง แล้วคอยปรับไปเรื่อยๆ

แนวทางที่ใช้ในการแนะนำเรื่องสุขภาพ

ก็คือ “ต้องเลิกกินหรือเลิกการกระทำที่ทำลายสุขภาพเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ คิดว่าจะกินหรือทำอะไรเพิ่มเพื่อซ่อมแซมสุขภาพที่ชำรุดอยู่” ทำไมต้องเน้นเรื่องนี้ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ ชอบถามคำถามแรกว่า “ต้องกินอะไรบ้าง จะได้แข็งแรง” คำถามที่ถูกต้องที่ควรจะเป็นคือ “ต้องเลิกกินอะไรบ้าง จึงจะแข็งแรงกว่าเดิม” และคำถามที่ถูกต้องกว่านั้นคือ “ต้องเลิกกินหรือ/และต้องเลิกทำอะไรบ้าง จึงจะแข็งแรงกว่าเดิม” เราจะค่อยไล่ไปทีละเรื่องครับตั้งแต่
1. หยุดหวาน
2. หยุดนมสัตว์
3. หยุดเนยเทียม
4. หยุดมันๆทั้งหลายทั้งจากพืชและจากสัตว์
5. หยุดใช้เตาอบไมโครเวฟ
6. หยุดผลิตภัณฑ์ของถั่วเหลือง

🔴 1. หยุดกินหวานให้ได้
ความหวาน อันได้แก่ ขนมหวาน ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม (มีข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ ผลไม้บางอย่างถึงแม้รสจะไม่หวาน (บางอย่างก็จืด บางอย่างก็เปรี้ยว) แต่ก็เป็นอันตรายต่อร่างกายได้เหมือนผลไม้หวาน) สำหรับประเด็นความหวานเป็นอันตรายต่อสุขภาพนั้นขอให้ทุกท่านกลับไปอ่านหัวข้อเรื่องความหวานในตอนต้น เมื่อท่านอ่านแล้ว ผมขอยืนยันอย่างชัดเจนว่า “หวานทุกรูปแบบเป็นอันตรายต่อสุขภาพจริงๆ” 95% ของผู้ป่วยที่มาหาผม ผู้ป่วยเหล่านี้มีปัญหาที่เกิดจากการกินหวานแทบทั้งนั้น ถ้าหวานไม่ใช่สาเหตุหมายเลข 1 ก็ต้องเป็นหมายเลข 2 ไม่เคยพลาดเลยครับ ดังนั้นทุกคนที่มีปัญหาสุขภาพและไม่มีปัญหาสุขภาพก็สมควรอ่านเรื่อง “หวาน” ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากหวานเป็นสิ่งเสพติดที่ค่อนข้างรุนแรงแต่ไม่เคยถูกประนามจากสังคมและศีลธรรมเหมือนเหล้า เพราะฉะนั้นจึงเป็นการยากที่คนจะเชื่อและเลิกการกินหวาน ในหนังสือของท่านดอกเตอร์ แนนซี่ แอฟเพิลตั้น ก็กล่าวไว้แล้วว่า เป็นต้นเหตุของโรคตั้ง 100 โรคแบบเดียวกับท่านดอกเตอร์ แนนซี่ แอพเพิลตั้นนั่นแหล่ะครับ) ลองดูซัก 2-3 โรคนะครับ เช่น 

โรคภูมิต้านทานทำลายเซลล์ของตัวเอง (โรคแพ้ภูมิ หรือ โรคพุ่มพวงหรือ Autoimmune disease หรือ SLE) โรคกลุ่มนี้ความหวานเป็นต้นเหตุที่สำคัญมาก ถ้าผู้ป่วยคนไหนยอมเชื่อ และเลิกกินหวานได้ ภายในระยะเวลาประมาณ 2 เดือน จะทำให้อาการลดลงอย่างรวดเร็ว 

โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ซึ่งปัจจุบันถูกเรียกกันว่า “กลุ่มอาการ X” หรือ syndrome X ผมเคยมีคนป่วยหลายคนที่สามารถหยุดการรับประทานยาทั้งหมดได้โดยที่ไม่ได้กลับมาเป็นอีกเลยตราบเท่าที่คนป่วยสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ขอเน้นว่ากว่าจะหยุดยาได้คนป่วยทั้งหมดต้องหยุดกินหวานได้จริงๆ ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ดังนั้นในช่วง 6 เดือนแรก ห้ามคนป่วยทุกคนหยุดยาโดยลำพังเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้น อาจเกิดอันตรายถึงเสียชีวิตได้ 

บังเอิญจริงๆ เมื่อเช้าวันนี้เองผู้ป่วยคนหนึ่งอายุ 36 ปีที่เคยมีปัญหา คือ ความดันโลหิตสูง 170/110 ม.ม.ปรอท โทรกลับมาหาผม แล้วบอกว่าปัจจุบัน (09/06/2549) ความดันโลหิตอยู่ที่ 106/68 และไม่ได้กินยาเลยผมเล่าเรื่องผู้ป่วยรายนี้ให้ฟังนะครับประมาณเดือนพฤศจิกายน 2548 หลังเทศกาลลอยกระทงผู้ป่วยรายนี้รู้สึกปวดหัวและหนักๆ หัวมาก จากการซักประวัติ พบว่า หลายปีที่ผ่านมาผู้ป่วยกินเบียร์เฉลี่ยสัปดาห์ละ 4 ขวด แต่บังเอิญช่วงเทศกาลลอยกระทงที่ผ่านมากินไปประมาณเกือบ 10 ขวดในระยะเวลา 2 วัน ผู้ป่วยไปรับการรักษาที่คลีนิกแห่งหนึ่ง ได้ยาลดความดันมากิน และได้รับคำบอกเล่าจากหมอว่า โรคนี้ส่วนใหญ่ไม่หายขาดต้องกินยาลดความดันไปเรื่อยๆ บางคนอาจต้องกินยาตลอดชีวิต ผู้ป่วยเริ่มสงสัยว่าทำไมต้องกินยาตลอดชีวิต แต่ก็ไม่ได้ซักถามหมอถึงเหตุผลดังกล่าว หลังจากนั้น 3 สัปดาห์ ความดันลงมาอยู่ที่ 120/80 โดยยังกินยาอยู่ทุกวัน แต่ผู้ป่วยเจอปัญหาใหม่ คือ สมรรถภาพทางเพศ ?จอดสนิท? ผู้ป่วยเริ่มสงสัยว่าปัญหาอันหลังนี้เกิดจากโรคความดันหรือเกิดจากยา และก็เป็นเหตุบังเอิญอีกแหล่ะครับที่มีคนรู้จักได้นำบทความของผมไปให้ผู้ป่วยอ่านบทความนั้นเป็นบทความเรื่องคำแนะนำ แนวทางธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือกในการรักษาความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยจึงได้มาพบผมและรับคำแนะนำในการรักษา คำแนะนำของผมก็คือ สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงก็คือ “หวาน” ในกรณีของผู้ป่วยรายนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่หวานโดยตรง แต่อย่าลืมว่าแอลกอฮอล์ในทางเคมีจัดว่าเป็น “aldehyde” ซึ่งจัดว่าเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง ดังนั้นสาเหตุในผู้ป่วยรายนี้ “หวาน” ก็คือ “เบียร์” นั่นเอง เราจึงแนะนำให้ผู้ป่วยทำดังนี้
– งดหวานทุกชนิด(ขนม ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ทุกประเภท) 
– ลดการกินไขมันทุกชนิด ทั้งไขมันพืชและสัตว์ (ลดได้มากหายเร็ว ลดได้น้อยหายช้า) 
– เพิ่มปริมาณผักให้ได้อย่างน้อย 2 จาน (จานขนาดจานที่ใช้กินข้าว)/วัน โดยแบ่งเป็นผักสดครึ่งหนึ่ง สุกครึ่งหนึ่ง (ถ้าเป็นผักสนทั้งหมดยิ่งดีใหญ่ แต่ถ้าคนไม่เคย มันจะยากมาก) 
– ลดการกินเนื้อสัตว์ลงครึ่งหนึ่ง กินถั่วต้มวันละ 1 ถ้วยขนม (ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ลูกเดือย เม็ดบัว กินอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเปลี่ยนหรือวนไปเรื่อยๆ ไปซ้ำ ไม่ต้องลำบากเข้มงวด ขนาดว่า ใน 1 ถ้วยต้องมีทุกอย่างปนกัน) เน้นว่าเป็นการต้มที่ไม่ใส่น้ำตาลทุกประเภท ดังนั้นควรต้มเอง ถ้าซื้อมากินก็เทน้ำทิ้งแล้วเติมน้ำเปล่าลงไป คนๆแล้วก็เทน้ำทิ้งอีกรอบ จึงพอจะกินได้ แต่ที่ถูกนั้นควรต้มเองครับ 
– ไม่ได้ห้ามเรื่อง เค็ม เพียงแต่เตือนว่าไม่ควรเค็มมาก ไม่ต้องงง ผมห้ามเรื่องเค็มเฉพาะ 2 โรค เท่านั้นคือ โรคไต กับ มะเร็ง ขี้เกียจอธิบายตรงนี้ เพราะยาวและขัดกับหลักการของแพทย์แผนปัจจุบันอย่างมากครับ 
– กินน้ำมะนาว เช้า 1 ลูก เย็น 1 ลูก ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ โดยคั้นน้ำมะนาว 1 ลูกผสมกับน้ำเปล่าเย็น 1 แก้ว (ห้ามใช้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่น) อย่ามาถามว่า ใส่เกลือหน่อยได้ไหม๊ ใส่น้ำผึ้งหน่อยได้ไหม๊ คำตอบ คือย้อนกลับไปอ่านหน้านี้ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า ไม่ได้ห้ามเค็ม ดังนั้น ใส่เกลือได้นิดหน่อย แต่ห้ามหวาน ห้ามใส่น้ำผึ้ง 
– กินมะเขือเทศสีดาหรือราชินี เช้า 10 ลูกเย็น 10 ลูก กินยังไงนะเหรอ ก็ใส่ปากเคี้ยวแล้วกลืนลงท้อง ไม่ต้องไปปั่นให้เสียเวลา 
– กินบอระเพ็ดแคบซูลวันละ 1 เม็ดตอนเช้า ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ หลังจากกินได้ครบ 1 เดือน จะลดลงเหลือสัปดาห์ละ 2 เม็ดเท่านั้น คือ วันจันทร์ 1 เม็ดและพฤหัส 1 เม็ด 

สรุป วิธีการรักษาโรคความดันโลหิตสูงก็คือ งดหวาน งดเหล้า ลดมัน ลดเนื้อสัตว์ กินผักเพิ่ม กินถั่วต่างๆ ต้มวันละ 1 ถ้วย กินมะนาว กินมะเขือเทศ กินบอระเพ็ด 1 เม็ด 
– เน้นให้เห็นอีกครั้งว่า ลดหรืองดต้นเหตุที่แท้จริงของโรค เพิ่มบางอย่างที่ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น ก็คือ มะนาว กับบอระเพ็ดก็เท่านั้น 
– 2 สัปดาห์แรก ผมให้ผู้ป่วยลดยาทุกอย่างลดครึ่งหนึ่ง วัดความดันทุกเช้า และเย็น ช่วงนี้ความดันอยู่ที่ 130/90  
– หลัง 1 เดือนแรก งดยาแผนปัจจุบันทุกชนิด วัดความดันทุกวัน เช้า และเย็นช่วงนี้ความดันตัวบนอยู่ระหว่าง 140 ถึง 110 ส่วนตัวล่างอยู่ระหว่าง 100 ถึง 80 
– หลัง 2 เดือนความดันอยู่ที่ 120-110/80-70 ไม่มียาอะไรอีกเลย 
– อะไรเป็นเหตุที่ทำให้รายนี้หายได้ง่าย คำตอบคือ ความตั้งใจจริง และการกระทำที่จริงจังมาก แน่นอน อายุก็มีส่วนเนื่องจากอายุยังไม่มากเท่าไหร่ทำให้ง่ายต่อการฟื้นตัวแต่อายุก็ไม่สำคัญเท่ากับการตั้งใจจริงและทำจริงมากกว่าครับ ยังมีอีกรายที่ทำจริงจัง อายุ 60 ปี รายนั้นใช้เวลา 4 เดือนจาก 180/100 ลงมาเป็น 130/80 
– หมอที่แนะแนวทางธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือก จะโม้มากไม่ได้เพราะมีโอกาสที่จะหน้าแตกตลอดเวลา เนื่องจากการที่ผู้ป่วยจะหายหรือไม่หายนั้น ขึ้นอยู่กัยการกระทำของผู้ป่วยและญาติเป็นหลักใหญ่ไม่ใช่ตัวหมอ เพราะฉะนั้นหมอที่แนะแนวทางธรรมชาติบำบัดหรือแพทย์ทางเลือกต้องเจียมตัวและคอยเตือนตัวเองตลอดเวลาเหมือนกันว่า มันเป็นความสำเร็จของผู้ป่วยและญาติเกือบทั้งนั้น หมดเป็นแค่โค๊ช 
โรคไมเกรน ถ้าหยุดหวานได้จริง อันนี้เห็นผลเร็วสุด ภายใน 2 สัปดาห์เท่านั้นเอง และไม่มีอันตรายใดๆ ด้วย นอกจากอาการลงแดงเพราะหยุดกินหวานเท่านั้น 

โรคปวดข้อ ถ้าหยุดหวานได้ก็ช่วยได้มากทีเดียว หวานเป็นตัวทำลายข้อที่สำคัญยิ่ง แต่หลายๆคนไม่ยอมเชื่อ เพราะว่ามันฟังดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อวิธีทดลองง่ายๆ ก็คือ หยุดกินหวานง่ายๆ ก็คือ หยุดกินหวานแค่ 1 สัปดาห์ อาการปวดข้อจะเบากว่าเดิมให้รู้สึกได้เลย แต่รายละเอียดขอดูเป็นรายๆไป ฯลฯ

🔴 2. หยุดนมสัตว์ทุกประเภท
ระยะสั้นนมเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์แต่ในระยะยาวพวกนี้เป็นโทษทั้งนั้นถ้ายังจำไม่ได้ว่าเป็นโทษอย่างไร กลับไปอ่านเรื่องนี้ใหม่อีกรอบครับ ในการบรรยายเรื่องโภชนาการนั้น ผมได้สรุปไว้ตัวโตๆว่า สาเหตุของโรคภูมิแพ้ คือ “หวาน” กับ “นม” เท่านั้นเองอย่าลืมว่า ในนมจืดก็มีน้ำตาลอยู่แล้วเป็นน้ำตาลที่มีรสจืด ที่เรียกว่า “แลคโตส” ดังนั้นถ้าเด็กกินนมจืดก็เคราะห์ร้าย 2 เด้งทุกเรื่องทุกคำที่ท่านอ่านจากหนังสือเล่มนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือไม่เชื่อยังมีเวลาอีกเยอะให้ท่านหาข้อมูลเพิ่มเติม

ผมมีข้อสงสัยหลายๆอย่างที่จะนำมาขียนไว้
1. เด็กหลายคนโดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ที่มีปัญหาผิวหนัง เช่น ผื่นเอ็กซีม่า(eczema) ตามตัวเด็กจะสากๆ เวลาเราลูบตามตัวเด็กจะรู้สึกได้เลย และถ้าเด็กโตหน่อย เด็กอาจจะเกาให้เราเห็นได้เลยว่าคัน อันนี้ นม 100% ลดนมลงจะดีขึ้นทันที
2. ภูมิแพ้ต่างๆ ของระบบทางเดินหายใจ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม หอบหืด อันนี้ก็ นม 100% ลดนมลง จะดีขึ้นทันที
3. ประมาณปี 2542 ผมมีผู้ป่วยเด็กอยู่รายหนึ่งเป็นเนื้องอก กล่องเสียงที่เรียกว่า แปบปิลโลมา (laryngeal papiloma) เด็กเป็นค่อนข้างมากต้องมาดมยาสลบส่องกล้องแล้วตัดชิ้นเนื้อออกเพื่อไม่ให้อุดตันทางเดินหายใจทุกเดือน หลังจากคุยกับพ่อของเด็กให้ลดนมลงพบว่า ต้องมาทำการผ่าตัดห่างขึ้น เป็น 2 เดือนต่อครั้ง เรื่องนี้สะกิดใจอะไรผมบ้างคงไม่ต้องบอกนะครับ
4. ประมาณปี 2541 ผมมีผู้ป่วยเด็กอยู่รายหนึ่งอายุประมาณ 3 1/2 ขวบเป็นโรคนอนกรน เนื่องจากต่อมทอนซิลโตมาก เด็กรายนี้ได้รับการรักษามานาน 6 เดือน แต่ไม่ดีขึ้นเด็กถูกส่งมาให้ผมทำผ่าตัดต่อมทอนซิล เพื่อแก้ปัญหาการนอนกรนที่เกิดจากต่อมทอนซิลโต พ่อและแม่ของเด็กค่อนข้างกังวลต่อการผ่าตัด ผมเลยเสนอให้งดนมเด็กเป็นเวลา 1 เดือน เมื่อครบ 1 เดือน อาการนอนกรนของเด็กหายไป ต่อมทอนซิลก็ยุบ เด็กเลยรอดตัวไป

พวกคุณทั้งหลายอ่านหัวข้อเรื่องนมแล้วทั้ง 2 ตอนแล้ว ที่เหลือก็หัดไปหาข้อมูลหรือไม่ก็นั่งคิดพิจารณากันบ้าง

🔴 3. หยุดกินผลิตภัณฑ์ของเนยเทียม
หลายคนอาจไม่เชื่อ ถ้าผมจะบอกว่าใน 5-6 ข้อที่กล่าวมาในเล่มนี้ตัวผมเองกลัวที่สุด คือ เนยเทียม กับ เตาอบไมโครเวฟ หลังๆ มานี้เวลาผมซักประวัติผู้ป่วยมะเร็ง มันเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ และเน้นว่าเป็นข้อสังเกตของผมเท่านั้นแน่นอนมันยังไม่ใช่ Scientific base แต่ในความเห็นของผม สาเหตุของมะเร็งไล่ตามนี้
1. ไขมันทั้งพืชและสัตว์ เช่น มันๆทอดๆ ทั้งหลาย (ถ้าคุณกลัวน้ำมันทอดซ้ำๆ คุณก็จะเข้าใจได้ดีขึ้นว่า โมเลกุลของน้ำมันทอดซ้ำๆ หลังจากที่โดนความร้อนหลายๆรอบ โมเลกุลจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเหมือนเนยเทียม) ซึ่งอันนี้รวมถึง เนยเทียม ซึ่งเป็นไขมันพืชแปรสภาพด้วย เมื่อรวมเนยเทียมก็ต้องรวมเบเกอรี่ทุกชนิดด้วย
2. เนื้อสัตว์ เพราะส่วนใหญ่ ของเนื้อสัตว์ก็จะมีไขมันติดมาด้วยทั้งนั้นอันนี้ต่างหากที่เรากลัว
3. หวาน ช่วยให้อันตรายจากไขมันเกิดง่ายขึ้น และเมื่อเกิดมะเร็งแล้วหวานเป็นแหล่งพลังงานที่     สำคัญที่สุดของมะเร็งแล้วจะไม่ให้ผมกลัวเนยเทียมได้อย่างไร ปัจจุบันมันแพร่หลายในชีวิตประจำวันของเราขนาดไหน และรับรองได้พระเจ้าจอร์จ หม่ำไป ตายอหิวาต์อย่างเดียวครับ ถ้ายังไม่เข้าใจ ลองหาหนังสือ ?The Trans Fat Solution? ของ Kim Severson มาอ่านดู หรือไม่ก็ย้อนกลับไปอ่านหัวข้อที่ 3 ของเล่มนี้อีกครั้ง

🔴 4. หยุดมันๆ ทั้งหลายทั้งจากพืชและจากสัตว์
ก็คงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วนะครับ

🔴 5. หยุดใช้เตาอบไมโครเวฟ
อันนี้ผมว่าบทความของ Dr. Lita Lee ชัดอยู่แล้ว

🔴 6. หยุดผลิตภัณฑ์ของถั่วเหลือง
ผมคิดว่าเร็วๆนี้ ผลมจะเรียบเรียงภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำออกมาให้ท่าน ได้อ่านกันอีก

หัวข้อสุดท้าย หัวข้อนี้จะดูไร้สาระที่สุด และไม่น่าเชื่อมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงจากหนังสือทั้งหมดที่ผมอ่านมาและจากประสบการณ์ที่ผและผู้ป่วยของผมใช้มา หัวข้อสุดท้ายนี้เป็นหัวข้อที่มีสาระที่สุดและสำคัญที่สุด ปัจจุบันผมรักษาคนไข้ด้วยหลักโภชนาการดังต่อไปนี้ ก็คือเริ่มต้นด้วยการให้ผู้ป่วย “เลิกกินอะไร” เป็นเบื้องต้น คือ

“ลดการกิน หวานๆ มันๆ และของทอด เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์ของนม เนียเทียม ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ของถั่วเหลือง เค็ม (เค็มอันตรายน้อยที่สุดในบรรดาของพวกนี้)” แต่ถ้าคุณจะป่วยมาด้วยโรคร้ายแรง คุณต้องกินเพียงเท่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญ ในบางคนอาจต้องกินมากกว่านี้ เราจะดูเป็นรายๆไป แต่อย่างน้อย ทุกคนจะต้องกินแบบนี้
“ข้าว ผัก ถั่ว (เว้นถั่วเหลือง) ไม่หวาน ไม่มัน เค็มน้อย” อย่าเพิ่งตกใจเดี๋ยวจะอธิบายไปทีละข้อครับ 
– ผักเป็นแหล่งสำคัญของไวตามิน เกลือแร่ เอ็นไซม์ และที่สำคัญที่สุดเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อเราอย่างมากในทางเดินอาหาร (friendly micro organism) ซึ่งเรื่องนี้เดี๋ยวผมจะอธิบายเพิ่มเติมอีก 
– ถั่ว (เว้นถั่วเหลือง) เป็นแหล่งสำคัญของโปรตีน ทำไมโปรตีนจึงสำคัญ เพราะโปรตีนเป็นส่วนประกอบ 75% ของร่างกายคนเราเมื่อไม่รวมน้ำแต่เราจะให้ทานเริ่มต้นวันละ 1 ถ้วยเท่านั้น เรื่องถั่วนี้มีรายละเอียดอีกนิดหน่อยครับ นักธรรมชาติบางท่าน เช่น คุณสุวัฒน์ สินสุวงศ์ ท่านไม่เห็นด้วยกับการที่จะยอมให้ผู้ป่วยมะเร็ง ทานถั่วในช่วง 3 เดือนแรกของการรักษา โดยท่านให้เหตุผลว่า ถั่วมีไขมันเยอะ ทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตได้ดี ทำให้ผลการรักษาไม่ดี สำหรับประเด็นนี้ผมเห็นด้วย แต่ผมเองก็จะดูเป็นรายๆไปครับแต่โดยพื้นฐานค่อนข้างเห็นด้วย 
– ไม่หวาน คงไม่ต้องบอกอะไรอีกแล้วนะครับ 
– ไม่มัน ก็คงไม่ต้องบอกอะไรอีกแล้วนะครับดูแล้วน่าจะเป็นอาหารที่คนกินไปเรื่อยๆ น่าจะเป็นโรคขาดอาหารชะมากกว่าแต่ขอโทษครับพี่ หายป่วยกันมาเยอะแล้ว แต่ไม่หายก็มีครับ เพราะส่วนใหญ่ ทนเบื่อไม่ไหวต่างหากเลยเลิกกลางคัน 
– ผมจะเล่าเรื่องผัก ซักนิดหนึ่งครับ หลายคนอาจไม่รู้ว่า คนเราไม่มีน้ำย่อยที่ใช้ย่อยผัก อ้าว! แล้วถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนย่อยผักละ โครงสร้างผักส่วนใหญ่เป็น เซลลูโลส (cellulose) เอ็นไซม์ที่ใช้ย่อยเรียกว่า เซลลูเลส (cellulase) ระบบทางเดินอาหารของคนไม่ได้สร้าง เซลลูเลส (cellulase) ดังนั้นจึงย่อยผักไม่ได้การย่อยผักเป็นหน้าที่ของจุลินทรีย์ (friendly micro organism) ที่มีอยู่ในทางเดินอาหารของเรา ปกติจุลินทรีย์ (friendly micro organism) มีอยู่ในทางเดินอาการประมาณ 40 สายพันธุ์ ยกตัวอย่างที่คนทั่วๆไปรู้จักกันดีก็คือ แลคโตบาซิลลัส (lactobacilius) พวกนี้แหล่ะที่จะเป็นผู้ย่อยผักและทำให้เกิดผลพลอยได้แก่ทางเดินอาหารของเราดังนี้
1. ช่วยทำลายเชื้อโรคแปลกปลอมที่มากับอาหารและน้ำที่เรากินเข้าไป
2. ช่วยสร้างไวตามินให้เรา เช่น ไวตามินบี โฟลิค แอซิด
3. ช่วยทำให้เราได้ไวตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ในผัก
4. ช่วยสร้างเอ็นไซม์ที่ใช้ในทางเดินอาหาร
5. ช่วยทำลายธาตุโลหะหนักและยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนมากับอาหาร
6. อีกทั้งยังมีรายงานใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า จุลินทรีย์ (friendly micro organism) เหล่านี้ช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทานการติดเชื้อไวรัสต่างๆได้ และต้านการเป็นมะเร็งได้อีกด้วย

เพียงแค่คุณสัมบัติ 6 ข้อนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าทำไมคนที่กินผักเป็นประจำจึงแข็งแรง นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเราต้องคอยเตือนให้เด็กๆกินผัก (รวมทั้งตัวเราเองด้วย) ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหนังสือ Probiltics Natural Internal Healer ที่เขียนโดย Natasha trenev พิมพ์ปี 1998 ครับ ยังมีหนังสือที่ดีมากอีกเล่มหนึ่งที่ผมต้องเรียกร้องให้ทุกคนได้อ่าน เป็นประโยชน์อย่างมากต่อทุกคนแต่ก็อย่าลืมกฏข้อที่ 1 ก็คือ อ่านด้วยความช่างสังเกต ลองนำมาใช้ด้วยความระมัดระวัง ใครที่เคยมึนงงกับเรื่อง หยิน หยาง ก็จะเห็นว่าเข้าใจได้ง่ายขึ้น ชื่อของหนังสือ คือ “ถอดรหัส สุขภาพ ร้อนเย็น ไม่สมดุล” ของหมอเขียว ที่ธรรมทัศน์สมาคม เป็นผู้เผยแพร่อยู่ขณะนี้ หนังสือของหมอเขียวเป็นธรรมชาติแบบไทยๆ ส่วนหนังสือของผมเป็นธรรมชาติแบบฝรั่งๆ นำส่วนที่ดีของทั้งสองเล่มมาผสมกันใช้ แล้วสุขภาพร่างกายของคุณจะปลอดภัยขึ้นอีกเยอะ หนังสือของหมอเขียวราคาเท่ากับก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม แต่ประโยชน์มหาศาลเทียบกับราคาไม่ได้เลยครับ

โรคที่ผมไม่สามารถให้การแนะนำได้เลย คือ ไตวายเรื้อรัง และมะเร็งยกเว้นมะเร้งเต้านมไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง รวมทั้งตัวผมด้วยและในผู้ป่วยแต่ละรายผมเองยังต้องปรับการรักษาอยู่เรื่อยๆ ขอยืนยันว่า “ไม่มีการรักษามาตราฐานที่ใช้ได้กับทุกคน” เพียงแต่ว่าพอจะใช้คล้ายๆ กันได้บ้างและนี่คือสาเหตุที่ต้องสอนกันทุกรายในรายละเอียด เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้ป่วยนั่นแหล่ะจะเป็นผู้ปรับเปลี่ยนการรักษาต่างๆด้วยตนเองที่มีประสิทธิภาพสูงสุด อย่าลืมว่าเราไม่ได้เป็นคนเหมือนๆกัน เราเป็นคนคล้ายๆกันเท่านั้นครับ

ต้องขอบคุณกับข้อมูลดีๆ ของหนังสือ “ทำไมคุณถึงป่วย?” ของ นพ. เปี่ยมโชค ชลิตาพงค์ ที่ได้ให้ข้อมูลและแนวทางในการดูแลตนเองในรูปแบบโภชนาบำบัดทำให้ผู้อ่านมีข้อมูลในการดูแลและตัดสินใจในการเอาใจใส่สุขภาพในอีกแง่มุมหนึ่ง