บริษัทเราจำหน่ายอาหารเสริม…เราอยากให้ผู้บริโภคของเราได้ทานอาหารเสริมที่เกิดประโยชน์ต่อร่างกายของเขาสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้…
เป็นความภาคภูมิใจของเราที่ได้นำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องสุขภาพ คำแนะนำของผม จะใช้อาหารเสริมของบริษัทอยู่แค่ 6 อย่างเท่านั้น
1. โปรตีนสกัดจากธัญพืชแบบแคปซูลและแบบน้ำ
2. แคลแมก
3. โคคิวเทน
4. เบต้า จี
5. โครเมี่ยม
6. น้ำมันรำข้าว
อาหารเสริมทั้งหมดนี้ ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยโรคไตวาย ถ้าไม่มีความมั่นใจในการใช้อาหารเสริม แนะนำให้โทรปรึกษาแพทย์ที่ปรึกษาของบริษัท คำแนะนำ การเตรียมข้อมูลก่อนที่โทรไปปรึกษา ข้อมูลของผู้ที่จะใช้อาหารเสริม
1. เพศ
2. อายุ
3. น้ำหนัก
4. มีโรคอะไรบ้าง โรคต่าง ๆ ถ้ามีรายละเอียดด้วยยิ่งดี เช่น เบาหวาน น้ำตาลครั้งหลังสุดที่ตรวจเท่าไหร่ ความดันเลือดครั้งหลังสุดที่วัดได้เท่าไหร่ (ตัวใหญ่ตัวเล็ก ทานอาหารเสริมไม่เท่ากัน อายุมากอายุน้อยทานอาหารเสริมไม่เท่ากัน โรคมากโรคน้อยทานอาหารเสริมไม่เท่ากัน)
🔴 1. โกลด์โปร (โปรตีนสกัดจากธัญพืชแบบแคปซูล) (วันละ 4-6 เม็ด เช้า 3 เม็ด เที่ยง 3 เม็ด) และแบบผงชงน้ำเครื่องดื่มธัญพืช (วันละ 4-6 ช้อน เช้า 2 ช้อน เที่ยง 2 ช้อน) ทั้ง 2 แบบเป็นโปรตีนสกัดทั้งคู่แต่ประสิทธิภาพแบบแคปซูลจะแรงกว่าแบบชงน้ำ แบบชงน้ำจะเหมาะกับคน 3 กลุ่ม แก่มาก ป่วยมาก เด็กมาก กลุ่มที่ห้ามกินแบบชงน้ำ คือ เบาหวาน น้ำตาลอาจจะขึ้นสูงมากได้ เบาหวานแนะนำเฉพาะโกลด์โปรเท่านั้น อาหารเสริมเหล่านี้เป็นโปรตีนสกัดจากพืช 100% มีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกายมนุษย์ ร่างกายของเราทุก ๆ เซลล์ประกอบด้วยโปรตีน 75% เมื่อไม่รวมน้ำ ดังนั้นเมื่อเราต้องการสร้างหรือซ่อมร่างกายส่วนไหนก็ตาม โปรตีนมีความจำเป็นสูงมาก
ในหนังสือของนายแพทย์ อีริค เบรฟเวอร์แมน ชื่อ “THE HEALING NUTREINTS WITHIN” ปี 1993 มีเรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับความจำเป็นของโปรตีน
– ทุกวินาทีไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง 2.5 ล้านเซลล์
– ทุก 4 วัน เยื่อบุในทางเดินอาหารและเกล็ดเลือดสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
– ทุก 10 วัน เม็ดเลือดขาว (ภูมิต้านทาน) สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
– ทุก 24 วัน ผิวหนังทั่วร่างกาย สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
ในเมื่อโปรตีนเป็นส่วนประกอบ 75% ของทุกเซลล์ ร่างกายจะสามารถสร้างเซลล์เหล่านี้ให้ดีได้อย่างไร ถ้าขาดโปรตีนดี ๆ การที่สมาชิกบางคนบอกว่าโปรตีนเป็นตัวพื้นฐาน คำพูดนี้มีส่วนถูกอยู่มาก น่าเสียดายว่ามัวแต่ใช้ชงน้ำอย่างเดียว ไม่เคยลองใช้แบบแคปซูล ทั้ง ๆ ที่ประสิทธิภาพแบบแคปซูลดีกว่า และเนื่องจากแบบแคปซูลและแบบชงน้ำเป็นโปรตีนทั้งคู่ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกินคู่กัน
🔴 2. แคลแมก (แคลเซียมบวกแมกนีเซียมในเม็ดเดียวกัน) อวัยวะที่เป็นโครงสร้างความแข็งแรงของร่างกายมีคร่าว ๆ อยู่ 5 อย่าง คือ 1.กระดูก 2.ข้อ 3.กล้ามเนื้อ 4.เอ็น 5.ฟัน อวัยวะ 5 อย่างนี้ เป็นโครงสร้างหลักที่ทำให้ร่างกายคงรูปร่างอยู่ได้ ลองหลับตาแล้วนึกเอาว่า ถ้าไม่มี 5 อย่างนี้ จะเป็นอย่างไร อวัยวะเหล่านี้มีแคลเซียมและแมกนีเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญ คงไม่ต้องบอกซ้ำว่าโปรตีนเป็นส่วนประกอบสำคัญทุกอวัยวะ (ช่วงแรก 1-3 เดือน วันละ 6-8 เม็ด ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ หลังจากนั้น ลดลงเหลือวันละ 2-4 เม็ด ปรับเพิ่มเมื่อมีอาการ ปรับลงเมื่อดีขึ้น) ทำไมช่วงแรกต้องทานแคลเซียมถึงวันละ 8 เม็ด ลองอ่านการอธิบายต่อไปนี้ ร่างกายของเรามีเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแรง 5 ชนิด ที่รู้จักกันดี ก็คือ กระดูก ข้อ กล้ามเนื้อ เอ็น ฟัน ทั้ง 5 ชนิดนี้ล้วนมีแคลเซียมและแมกนีเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญ นอกจากแคลเซียมและแมกนีเซียมจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญแล้ว ยังเป็นตัวควบคุมการทำงานของเนื้อเยื่อทั้ง 5 ชนิดนี้อีกด้วย เมื่อเรามีอาการดังต่อไปนี้ เช่น กระดูกผุ ปวดเจ็บข้อ ข้อเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเอ็น ฟันโยก ฟันแตก อาการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นว่า แคลเซียมและแมกนีเซียมในร่างกายของเราต่ำมาก ขาดมากแล้ว การทานวันละ 1-2 เม็ด น้อยเกิดกว่าที่จะแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที (ถ้าท่านมีอาการดังกล่าวกำลังเจ็บปวดอยู่ การลองทาน วันละ 8 เม็ดขึ้นไป สัก 4-5 วัน ท่านจะประหลาดใจว่า อาการต่าง ๆ ดีขึ้นอย่างมาก) และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือ ทั้งแคลเซียมและแมกนีเซียมมีฤทธิ์เป็นด่าง ช่วยลดความเป็นกรดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายได้ดีมาก เป็นการช่วยลดการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน เมื่อยต่างๆ ได้เป็นอย่างดียิ่ง
🔴 3. โคคิวเทน (วันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า ถ้าไม่ทานอาหารเช้า เปลี่ยนไปทานหลังอาหารเที่ยง) ร่างกายที่ดีต้องการพลังงานที่ดี โคคิวเทนเป็นเอนไซม์ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยทั้งหลาย ที่อ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง ล้วนแล้วแต่ขาดโคคิวเทนทั้งนั้น ปัจจุบันวงการแพทย์ในต่างประเทศใช้โคคิวเทนในผู้สูงอายุและผู้ป่วยต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และปลอดภัย
🔴 4. เบต้า จี (เบต้า กลูแคน) เป็นสารที่สกัดจากผนังเซลล์ของเห็ดหรือยีสต์ จากรายงานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ มันสามารถช่วยการทำงานของระบบภูมิต้านทานให้ดีกว่าเดิม เมื่อภูมิต้านทานทำงานดีกว่าเดิม ประสิทธิภาพที่ร่างกายจะทำลายเชื้อโรคและเซลล์มะเร็งก็จะดีกว่าเดิม เมื่อประสิทธิภาพดังกล่าวดีกว่าเดิม โอกาสที่จะป่วยเป็นโรคติดเชื้อหรือมะเร็งก็จะลดลงและถ้าเป็นโรคดังกล่าวอยู่แล้ว โอกาสที่จะหายก็จะมีมากขึ้น ไม่เอาเหรอ อย่าลืมสิว่า มะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทยยุคปัจจุบัน ไม่สบายบ่อย กลัวมะเร็ง เบต้า กลูแคนช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ เบต้า กลูแคน วันละ 1-6 เม็ด ตอนท้องว่าง และถ้าจะให้ประสิทธิภาพดีขึ้นอีก ควรทานวิตามินซี (1000 มก.) ร่วมด้วย แต่วิตามินซีต้องทานหลังอาหาร
ตัวอย่างการใช้
1. ร่างกายปกติ ใช้เพื่อการป้องกัน เบต้า กลูแคน วันละ 1 เม็ด ตอนท้องว่าง เช่น เบต้า กลูแคน เช้า 1 เม็ดก่อนอาหาร และ วิตามินซี (1000 มก.) เช้า 1 เม็ดหลังอาหาร
2. เป็นหวัดอยู่ เจ็บคออยู่ ใช้เพื่อลดภาวะโรคติดเชื้อ เบต้า กลูแคน วันละ 2-3 เม็ด เช่น เบต้า กลูแคน เช้า 1 เม็ด เที่ยง 1 เม็ด เย็น 1 เม็ด ก่อนอาหาร และ วิตามินซี (1000 มก.) เช้า 1 เม็ด เที่ยง 1 เม็ด เย็น 1 เม็ด หลังอาหาร
3. เป็นมะเร็งอยู่ เบต้า กลูแคน วันละ 6-12 เม็ด เช่น เบต้า กลูแคน เช้า 2-4 เม็ด เที่ยง 2-4 เม็ด เย็น 2-4 เม็ด ก่อนอาหาร และ วิตามินซี (1000 มก.) เช้า 1 เม็ด เที่ยง 1 เม็ด เย็น 1 เม็ด หลังอาหาร
🔴 5. โครเมียม ชื่อเต็ม โครเมียม อะมิโน แอซิด คีเลต ต่างประเทศใช้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน โดยมีข้อแม้ว่าผู้ป่วยเบาหวานต้องทานยาเบาหวานด้วย ย้ำ! อาหารเสริมทุกชนิดควรใช้คู่กับยาแผนปัจจุบัน อย่าได้แนะนำให้ใครหยุดยาเองโดยเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัย ไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำเกินไป ให้เริ่มจากน้อย ๆ ก่อน เช่น โครเมียม วันละ 1 เม็ด ตอนเช้า หลังอาหาร ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ตรวจเลือดแล้ว…ถ้าระดับน้ำตาลยังไม่ลดลง เพิ่มตอนเย็นอีก 1 เม็ด อีก 2-4 สัปดาห์ ตรวจเลือดซ้ำ ถ้าระดับน้ำตาลยังไม่ลดลง ขอให้โทรมาปรึกษาครับ
🔴 6. น้ำมันรำข้าว เรามีน้ำมันรำข้าว 3 แบบ
แบบที่ 1 น้ำมันรำข้าวสูตรปกติ มาตรฐานทั่ว ๆ ไป มีสารแกมม่า ออริซานอล 8 มก. ต่อ 1 เม็ด น้ำมันรำข้าวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (สารที่ออกฤทธิ์ในน้ำมันรำข้าว มีชื่อว่า สารแกมม่า ออริซานอล) ฟังแล้วดูจะงง ๆ เอาเป็นว่ามีคุณสมบัติต้านความเสื่อมสภาพของทุกอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ดังนั้นเหมาะในแง่การป้องกันโรค ทานไปเรื่อย ๆ ทำให้แก่ช้าเสื่อมช้ากว่าที่ควรจะเป็น สูตรปกติทานวันละ 2-4 เม็ด ตอนไหนก็ได้ครับ
แบบที่ 2 น้ำมันรำข้าวผสมไลโคปีน (สารสกัดจากมะเขือเทศ) มีคุณสมบัติทั่ว ๆ ไปเหมือนแบบที่ 1 แต่การที่เพิ่มไลโคปีน ทำให้มีผลเด่นชัดที่ผิวพรรณ อันนี้เน้นที่ผิวสวย สูตรผสมไลโคปีน ทานวันละ 2-4 เม็ด ตอนไหนก็ได้ครับ
แบบที่ 3 น้ำมันรำข้าว 48 เป็นน้ำมันรำข้าวที่มีสารแกมม่า ออริซานอล 48 มก. ต่อ 1 เม็ด กลับไปดูแบบที่ 1 คุณจะเห็นว่า แบบที่ 1 มีแกมม่า ออริซานอลแค่ 8 มก. ต่อเม็ด เท่ากับว่าแตกต่างกัน 6 เท่า เดิมทำไว้ขายฝรั่งตัวใหญ่ ๆ คุณสมบัติทั่ว ๆ ไป เหมือนแบบที่ 1 มีคุณสมบัติต้านความเสื่อมสภาพของทุกอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ดังนั้นเหมาะในแง่การป้องกันโรค ทานไปเรื่อย ๆ ทำให้แก่ช้าเสื่อมช้ากว่าที่ควรจะเป็น เพียงแต่ว่าไม่ต้องกินจำนวนเม็ดมากนัก เนื่องจากความเข้มข้นมากกว่า ประหยัดกว่า สูตร 48 ทานวันละ 1-2 เม็ด ตอนไหนก็ได้ครับ และมีคุณสมบัติที่เด่นอีก 1 ข้อ แกมม่าที่มากกว่า ทำให้มีฤทธิ์ในการลดอาการปวดข้อและกล้ามเนื้อได้โดยไม่กัดกระเพาะอาหาร