ความหวาน ทำให้เกิดอะไรต่อร่างกายของเรา (คำจำกัดความของคำว่า “หวาน” คือทุกอย่างที่หวาน ตั้งแต่ ขนม ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม) หลายคนอาจจะเคยได้ยินประโยคต่อไปนี้ว่า “ทำไมโชคร้ายอย่างนี้ต้องมาป่วยเป็นโรคนี้” หรือ “ชาติก่อนทำกรรมเวรอะไรไว้หนอชาตินี้ถึงต้องมาป่วยแบบนี้” หลังจากผมมาศึกษาธรรมชาติบำบัดถึงได้เข้าใจว่าทุกโรคไม่ได้เกิดจากโชคร้าย ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ไม่ใช่กรรมเวร แต่ชาติก่อน มากกว่า 90% ของความเจ็บป่วยเป็นเรื่องของผลที่มีเหตุอันสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะเกิดโรคขึ้น หลังจากท่านอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว ท่านจะได้เห็นแนวสาเหตุของโรคอย่างชัดเจน ส่วนเรื่องว่าจะเชื่อหรือไม่ ก็เก็บไปพิจาณากันเองเอง คราวนี้หล่ะเป็นเรื่องของกรรมใครกรรมมันจริงๆ แล้ว
จากหนังสือ “Lick the sugar habit” ที่เขียนโดย Nancy Appleton, Ph,D, ตีพิมพ์ปี 2001 เธอเป็นปริญญาเอกทาง clinical nutrition ในหนังสือเล่มนี้ได้สรุปได้วา มีโรคและอาหารผิดปกติ ที่เกิดจากการกินหวานอยู่ถึง 110 ชนิดดังนี้
🔴 1. กดการทำงานของภูมิต้านทาน
🔴 2. ทำลายสมดุลของเกลือแร่ต่างๆในร่างกาย
🔴 3. ทำให้เกิดสมาธิสั้น ความวิตกกังวลอารมณ์แปลกประหลาดในเด็กเรามีตัวอย่างจากหนังสือ altemative medicine ฉบับเดือนกันยายน ปี 2004 หน้า 24 ชื่อ the real reason sweets make kids jumpy บทความนี้เป็นงานวิจัยที่ทำในอังกฤษ พบว่าทั้งความหวานและสีผสมอาหารที่มีอยู่ในขนมหวานลูกอม และน้ำอัดลมมีส่วนในการทำให้เด็กที่กินของเหล่านี้เข้าไปเกิดอาการสมาธิสั้น เป็นการศึกษาในเด็กอายุ 3 ขวบ จำนวน 277 คนโดยการเฝ้าสังเกตุพฤติกรรมของเด็กเหล่านี้ ในช่วงเวลาที่เด็กกินอาหารที่มีความหวาน มีสีผสมอาหารและอาหารที่ไม่มีความหวานไม่มีสีผสมอาหาร ซึ่งพบว่าในช่วงที่เด็กกินอาหารไม่มีความหวาน ไม่มีสีพฤติกรรมของสมาธิสั้นลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง กลุ่มที่ทำงานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะว่าการลดปัญหาของอาหารสมาธิสั้น คือให้เด็กกินอาหารที่มีความหวานมีสีผสมอาหารลดลง โดยเน้นที่อาหารและขนมสำเร็จรูปทั้งหลาย ขนมหวาน ลูกอม และน้ำอัดลม ขนมถุงๆ จำพวกขบเคี้ยวทั้งหลายด้วย
🔴 4. ทำให้ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง
🔴 5. ทำให้ความสามารถในการต้านทานเชื้อโรคลดลง
🔴 6. ทำให้ความยืดหยุ่นและการทำงานของเนื้อเยื่อต่างๆ ลดลง ข้อนี้ต้องยกตัวอย่าง นิดหนึ่งมีผู้ป่วย รายหนึ่งเป็นผู้หญิง อายุ 30 ปี มีอาการผิวหนังและชั้นใต้ผิวหนังแข็ง (scleroderma) ผู้ป่วยรายนี้รักษามาหลายโรงพยาบาลและหลายหมอ แต่อาการเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยได้รับการบอกว่าเป็นโรครักษาไม่หายขาด หลังจากมาพบกับผม และได้อธิบายเรื่องหวานเป็นที่เรียบร้อยแล้วผู้ป่วยงดกินหวาน หลังจากงดหวานได้ 1 เดือน อาการผิวหนังและชั้นใต้ ผิวหนังแข็ง ลดลงอย่างเห็นได้ชัด นี่เป็นตัวอย่างประกอบเล็กๆเท่านั้น
🔴 7. ทำให้ระดับ HDL ลดลง
🔴 8. ทำให้ร่างกายขาดแร่ธาตุโครเมียม
🔴 9. นำไปสู่การเป็นมะเร็ง เต้านม รังไข่ ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ส่วนปลาย
🔴 10. ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารสูงขึ้น
🔴 11. ทำให้ร่างกายขาดแร่ธาตุทองแดง
🔴 12. รบกวนการดูดซึมของแคลเซียมและแมกนีเซียมที่ลำไส้
🔴 13. ทำให้สายตาแย่ลง
🔴 14. ทำให้ระดับของสารสื่อกลางในสมองบางตัว เช่น โดปามีน เซโรโตนีน นอเอ็ฟปิเน็บฟริน สูงขึ้น
🔴 15. ทำให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ทำไมเรากินหวานแล้วทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำตามมาทั้งๆ ที่มันควรเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เพราะเมื่อเรากินหวาน น้ำตาลจะถูกดูดซึมจากทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากในช่วงครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หลังจากกินหวาน หลังจากนั้นฮอร์โมนอินซูลินจะถูกหลั่งออกมาจากตับอ่อนทำให้เกิดการนำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่ภาวะดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ในระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงหลังกินหวานตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณตบท้ายมื้อเที่ยงด้วยขนมหวาน 1 ถ้วยและชาดำเย็นหวานๆ แก้วพอประมาณบ่าย 2 โมงถึงบ่าย 3 คุณก็จะง่วงสุดๆ สมองล้าคือสุดๆ ช่วงนั้นแหล่ะเป็นช่วงที่ระดับน้ำตาลต่ำสุดๆ เช่นกัน หลายคนอาจจะหงุดหงิดกับการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ว่าทำไมมันเซ่อขนาดนี้ไม่รู้จักหลั่งออกมาให้พอดีๆ จะได้ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลต่ำเกินไป คิดง่ายๆ ทุบแรงๆ ก็เจ็บมากทุบเบาๆ ก็เจ็บน้อย กินหวานมากก็หลั่งมากกินหวานน้อยก็หลั่งน้อยก็ร่างกายเซ่อซะขนาดนั้นกินหวานเข้าไปตั้งเยอะแล้วจะให้อินซูลินมันฉลาดได้อย่างไรเล่า ขอโทษที คุยกันเล่นๆ นะ นอกเรื่องไปตั้งเยอะแล้วกลับเข้าเรื่องเดิมดีกว่า
🔴 16. ทำให้ระบบทางเดินอาหารเป็นกรด
🔴 17. ทำให้เกิดการหลั่งแอดดรินาลีนอย่างรวดเร็วในเด็ก
🔴 18. ทำให้เกิดภาวะดูดซึมอาหารผิดปกติที่ลำไส้
🔴 19. ทำให้แก่เร็ว
🔴 20. นำไปสู่การเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
🔴 21. ทำให้ฟันผุ
🔴 22. ทำให้อ้วน
🔴 23. เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล
🔴 24. ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น
🔴 25. ทำให้เกิดข้อต่างๆอักเสบ
🔴 26. ทำให้เกิดโรคหอบหืด
🔴 27. ทำให้เกิดโรคติดเชื้อราได้ง่าย
🔴 28. ทำให้เกิดนิ๋วในถุงน้ำดี
🔴 29. ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
🔴 30. ทำให้เกิดใส้ติ่งอักเสบ
🔴 31. ทำให้โรค multiple sclerosis
🔴 32. ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร
🔴 33. ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด
🔴 34. อาจทำให้เกิดภาวะเบาหวานในคนที่ใช้ยาคุมกำเนิด
🔴 35. ทำให้เกิดโรคเหงือก
🔴 36. ทำให้กระดูกผุ
🔴 37. ทำให้น้ำลายเป็นกรด
🔴 38. ทำให้ร่างกายเกิดภาวะไม่ค่อยตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลิน
🔴 39. ทำให้ glucose tolerance ลดลง
🔴 40. ทำให้ growth hormone ลดลง
🔴 41. ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลสูงขึ้น
🔴 42. ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
🔴 43. ทำให้เกิดอาการง่วงซึมในเด็ก ตรงนี้ก็คงต้องอธิบายนิดหน่อยว่าทำไมกินหวานแล้วทำให้เด็กง่วงซึมได้ สมาธิสั้นก็ได้แต่ละคนจะมีการตอบสนองต่อระดับน้ำตาลในเลือดอาจจะแตกต่างกันบ้าง แต่โดยภาพรวมใหญ่ๆจะออกมาเหมือนๆ กัน อย่าเพิ่งงง ลองอ่านต่อไปเรื่อยๆ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดค่อยๆสูงขึ้นแต่ยังไม่มากร่างกายก็จะมีเรียวแรง พลังงานเยอะวิ่งซนได้ไม่หยุด จนเมื่อน้ำตาลขึ้นสูงสุดแล้วเริ่มตกลงจนต่ำมากก็จะเกิดอาการง่วงซึมเพราะพลังงานต่ำ ดังนั้นเด็กที่กินหวานก็จะมีอาการ ซนสุดๆ ไปจนถึงง่วงซึมสุดๆ ได้ หลานชอบ “เด็กมันซนเพราะมันฉลาด อย่าไปกังวลเลย” ผมขอแย้งนิดเดียว “แต่เด็กบางคนมันซนเกินไปจริงๆ จนน่ากลัวว่าไม่ได้ซนเพราะมันฉลาด แต่น่าจะมีอะไรทำให้เด็กผิดปกติมากกว่า”
🔴 44. ทำให้เกิดปวดศีรษะไมเกรน
🔴 45. รบกวนการดูดซึมโปรตีนในทางเดินอาหาร
🔴 46. ทำให้เกิดภูมิแพ้
🔴 47. นำไปสู่การเป็นเบาหวาน
🔴 48. ทำให้เกิดภาวะการตั้งครรภ์เป็นพิษ
🔴 49. ทำให้เด็กเป็นโรคผิวหนังที่เรียกว่า เอ็กซีม่า (eczema)
🔴 50. ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ผมขออธิบายเรื่องนี้คร่าวๆ เสียเลยในหนังสือ improving genetic expression in the prevention of the diseases of aging โดย Jeffrey S.Gland, Ph.D และ institute for function medicine ปี 1998 ได้กล่าวถึงงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงน้ำตาลจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ (free radicals) ได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น ภายในหลอดเลือด และอนุมูลอิสระ เหล่านี้ก็จะทำลายผนังหลอดเลือดทั่วไปหมดโดยทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัวและหนาตัว ถ้าผนังหลอดเลือดแข็งตัวขึ้นก็จะทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น จนวันหนึ่งกลายเป็นโรคความดันโลหิตสูงจนได้ ถ้าผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้นก็จะทำให้หลอดเลือดแคบหรือตีบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะนั้นๆ ไม่เพียงพอ และนี่คือที่มาของ โรคหัวใจและหลอดเลือด ถ้าพูดให้แคบลงมาอีกนิดก็คือ เส้นเลือดหัวใจตีบและความดันโลหิตสูงนั่นเองครับ เราคงไม่ต้องลงไปพูดถึงรายละเอียดระดับว่ามีการกระตุ้นการสร้าง type 4 collagen by vascular cells adjacent to the membrane reduces the elasticity and alters the filtration properties of the basement membrane เพราะถ้าใครต้องการรายละเอียดแบบนี้มีไว้ให้คนที่มีพื้นฐานทางวิชาการจริงๆ ซึ่งก็สามารถหาเพิ่มเติมได้จากหนังสือดังกล่าวครับ
🔴 51. ทำให้เกิดความผิดปกติของ DNA ได้
🔴 52. สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโปรตีนได้
🔴 53. ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นโดยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของคอลลาเจน
🔴 54. ทำให้เป็นต้อกระจก
🔴 55. ทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งพองได้
🔴 56. ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัวและหนาตัวได้
🔴 57. ทำให้ไขมัน LDL สูงได้
🔴 58. ทำให้เกิดอนุมูลอิสระในกระแสเลือดได้
🔴 59. ทำให้เอ็นไซม์ในร่างกายทำงานลดลงได้
🔴 60. สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของโปรตีนในร่างกายอย่างถาวรได้
🔴 61. ทำให้ตับโตโดยเกิดการแบ่งตัวของเซลล์ตับเพิ่มขึ้น
🔴 62. ทำให้ไขมันในตับเพิ่มขึ้น
🔴 63. ทำให้ขนาดของไตโตขึ้นและมีการทำลายไต
🔴 64. ทำลายตับอ่อน
🔴 65. ทำให้ร่างกายเกิดภาวะบวมน้ำได้
🔴 66. เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ยับยั้งการเคลื่อนไหวของลำไส้
🔴 67. ทำให้สายตาสั้น
🔴 68. ทำให้เยื่อบุเส้นเลือดฝอยทำงานไม่ดี
🔴 69. ทำให้เส้นเอ็นไม่แข็งแรง
🔴 70. ทำให้ปวดศีรษะ
🔴 71. ทำให้ตับอ่อนหมดสภาพ ทำงานไม่ไหว
🔴 72. ทำให้ผลการเรียนของเด็กตกต่ำลง
🔴 73. ทำให้คลื่นสมองที่เรียกว่า เดลต้า อัลฟา เธตา เพิ่มสูงขึ้น
🔴 74. ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า
🔴 75. เพิ่มโอกาสที่จะเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
🔴 76. ทำให้อาหารไม่ย่อย
🔴 77. เพิ่มโอกาสที่เป็นโรคเก๊าท์
🔴 78. การกินน้ำตาลทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสเพิ่มสูงขึ้นในการทำ oral glucose tolerance lest เมื่อเปรียบเทียบกับการกินคาร์โปรไฮเดรตเชิงซ้อน
🔴 79. คนที่กินหวานมากจะทำให้เกิดภาวะ insulin resistance ได้มากกว่า คนที่กินหวานน้อย
🔴 80. ทำให้เพิ่มการหมักหมมของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่
🔴 81. ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของ albumin และ lipoprotein ลดลง ทำให้ร่างกาย เกิดปัญหากับการจัดการไขมันและคอเลสเตอรอล
🔴 82. เพิ่มโอกาสเสี่ยงอย่างมากในการที่จะเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ เป็นแผลเรื้อรัง (Crohn?s disease)
🔴 83. ทำให้เกล็ดเลือดเกาะตัวกันเป็นก้อน
🔴 84. ทำให้ฮอร์โมนผิดปกติ
🔴 85. ทำให้เกิดนิวไต
🔴 86. ทำให้สมองส่วน hypothalamus ทำงานผิดปกติ
🔴 87. ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ
🔴 88. ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินในเลือดเพิ่มสูงขึ้นและอาจนำไปสู่ภาวะ hyperinsulinemia
🔴 89. ทำให้ปัญหาการอุดตันของหลอดเลือดเล็กๆ ส่วนปลายที่เกิดจากเกล็ดเลือดเกาะตัวกันเป็นก้อน เพิ่มสูงขึ้น
🔴 90. ทำให้เกิดมะเร็งของท่อน้ำดี
🔴 91. ทำลายสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
🔴 92. ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์แล้วทานหวานมาก มีโอกาสที่เมื่อคลอดทารกออกมาแล้ว ทารกจะมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตราฐาน
🔴 93. ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์แล้วทานหวานมากมีโอกาสที่จะคลอดก่อนกำหนด
🔴 94. ทำให้อาหารเคลือบตัวผ่านทางเดินอาหารข้าลง
🔴 95. ทำให้น้ำดีเข้มข้น และเอ็นไซม์ของแบคทีเรียในลำไส้เข้มข้นเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
🔴 96. ทำให้ fasting blood Sugar สูงขึ้น
🔴 97. ทำลายเอ็นไซม์ phosphatase ทำให้การย่อยอาหารยากขึ้น ทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดท้อง ได้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่
🔴 98. เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเป็นมะเร็งถุงน้ำดี
🔴 99. เป็นสารเสพติด ข้อนี้ถ้าอ่านสั้นๆ แค่นี้อาจไม่เข้าใจว่าสำคัญแค่ไหน ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญมากๆ คงต้องเขียนอธิบายเล็กน้อย จากหนังสือของนายแพทย์ james Braty ปี 1992 ชื่อ DR. BRALY’S FOOD ALLERGY & NUTRITION-REVOLUTION หน้า 455 เรื่อง “Com Syrup” ซึ่งน้ำตาลจากข้าวโพดนี้เป็นสารให้ความหวานที่ผสมอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูปเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ ขนมถุง ลูกอมยันน้ำอัดลม เค้าใช้คำนี้ครับ “highty addictive and allergenic” แปลเป็นไทยแบบผมนะครับ “เป็นสารเสพติดและก่อนให้เกิดภูมิแพ้อย่างแรง” ลองไปดูหนังสือเล่มอื่นบ้าง จากหนังสือ Low Carb Energy ฉบับเดือน มีนาคม 2005 หน้า 86 ชื่อเรื่อง “SUGAR A Serious addiction you can break” รายงานนี้เขียนโดย แพทย์หญิง Christine Homer คุณหมอคริสติน บรรยายไว้ดังนี้ครับ คนอเมริกันกินน้ำตาลเฉลี่ย 60 กิโลกรัม/คน /ปี และตัวเลขที่น่ากลัวคือโดยเฉลี่ยเด็กกินเป็น 2 เท่าของผู้ใหญ่ แปลว่าเด็กในวันนี้จะซวยอย่างเดียวในวันหน้าครับ ในหนังสือเล่มนี้ก็เขียนไว้ทำนองเดียวกับหนังสือ LICK THE SUGAR HABIT ก็คือ ความหวานเพิ่มโอกาสการเป็นโรคร้ายหลายชนิด เช่นลำไส้ใหญ่เป็นแผลอักเสบเรื้อรัง หอบหืด ข้ออักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ ไม่เกรน ซึมเศร้า โรคเหงือก ฟันผุ เบาหวาน อ้วน กระดูกผุและโรคหัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ ในหนังสือเล่มนี้เขียนเรื่องการเสพติดไว้ดังนี้ ความหวานกระตุ้นสมองที่ตำแหน่งเดียวกับ มอร์ฟิน เฮโรอีน และโคเคน และยังอ้างถึง วารสาร NEURO IMAGE ฉบับเดือนเมษายนปี 2004 ที่รายงานงานวิจัยของมหาวิทยาลัย เพนชิลวาเนีย สเตท ว่า เวลาเราอยากกินหวานๆสมองจะมีปฎิกิริยาเหมือนเราอยากเสพ มอร์ฟิน เฮโรอีน และโคเคน และเวลาเราได้กินหวานๆ สมองจะมีปฎิกิริยาเหมือนเราได้เสพ มอร์ฟิน เฮโรอีน และโคเคนเป็นไงครับ เริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวของความหวานแล้วหรือยัง ถ้ายังลองอ่านต่อไปอีก มีการทดลองในหนู โดยให้หนูกินอาหารและน้ำหวาน เมื่อเวลาผ่านไปหนูกินน้ำหวานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกินอาหารลดลง และเมื่อหยุดน้ำหวาน หนูจะเกิดอาการลงแดงทันที คือ ปากสั่นตัวสั่นและเมื่อให้กินน้ำหวานอาการเหล่านี้ก็จะหายไป (ทำให้นึกถึงเวลาคนที่ติดเหล้า ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆถ้าไม่ได้กินเหล้า ก็จะมีอาการมือสั่น พอได้กินเข้าไปชักเป็กหนึ่ง อาการลดแดงก็จะหายไปทันที ความจริงแอลกอฮอล์ก็เป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งเหมือนกัน เลยทำให้เกิดอาการลงแดงได้เหมือนกัน และถ้าเรานึกต่อไปอีกถึงคำพูดที่ว่า “ได้กินหวานๆ แล้วมันชื่นใจ” ถ้ามาแปลกันดีๆ ก็คือกำลังลงแดงอยู่หน่อยๆ เลยรู้สึก มันซึมๆหงอยๆ ไม่ค่อยมีเรียวแรง พอได้กินหวานเข้าไปก็หายลงแดง เลยทำให้รู้สึกชื่นใจหายซึมๆหงอยๆ ค่อยมีเรียวแรงขึ้นมา ผมอยากให้เราๆท่านๆ ลองเก็บเอาไปพิจารณาดูครับ) อ้าว!!! นอกเรื่องไปไกลเลย กลับมาเรื่องหนูๆต่อนะครับการวิจัยโดยให้หนูช่วยเป็นแบบจำลองยังมีอีกครับ เมื่อกี้นี้เราพูดถึงพอหยุดหวานแล้วหนูปากสั่นตัวสั่น คราวนี้เค้าทำการวิจัยในหนูอีก โดยคราวนี้แบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มแรกให้น้ำหวาน กลุ่มที่สองให้มอร์ฟิน โดยเริ่มจากกลุ่มแรกให้หนูกินน้ำหวาน พอหยุดน้ำหวานหนูจะเกิดอาการลงแดงทันที คือปากสั่นตัวสั่นอีก แต่คราวนี้ให้ยาชื่อ naloxone พบว่าหนูหายจากอาการปากสั่นตัวสั่น (ยา naloxone เป็นยาที่ใช้ช่วยในการเลิกยาเสพติดพวกมอร์ฟินและเฮโรอีน) หลังจากนั้นเริ่มให้มอร์ฟินหนูอีกกลุ่มหนึ่ง จนหนูติดมอร์ฟินแล้วหยุดการให้มอร์ฟิน หนูเกิดอาการลงแดงทันที ปากสั่นตัวสั่น เค้าก็ให้ยา naloxone หนูก็หายลงแดงทันที เราสรุปงานวิจัยไว้ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า งานวิจัยอันแรกได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการกินหวานเป็นประจำทำให้เกิดการเสพติดได้ เกิดอาการลงแดงได้ งานวิจัยอันที่สอง แสดงให้เห็นว่า ทั้งความหวานและมอร์ฟินทำให้เกิดการเสพติดได้เหมือนกัน และสามารถแก้ได้ด้วยยาตัวเดียวกัน ยังมีรายละเอียดในงานวิจัยนี้ที่ผมไม่ได้กล่าวไว้คือ เค้าเน้นว่า “sweet stimulates the exact same pleasure center in the brain that drugs like morphine heroin and cocaine do” แปลเป็นไทยก็คือ “ความหวานกระตุ้นศูนย์ที่รับรู้ความติดใจในสมองที่เดียวกับ มอร์ฟิน เฮโรอีนและโคเคน” น่ากลัวไหม๊ไปคิดกันเอาเองครับ กลับเข้าสู่ความหวานเป็นต้นเหตุของโรคต่อนะครับ
🔴 100. น้ำตาลเป็นพิษได้เหมือนแอลกอฮอล์(Sugar can be intoxicating, similar to alcolhol) ข้อนี้อย่าลืมว่า แอลกอฮอล์เป็น aldehyde ซึ่งโครงสร้างทางเคมีก็จัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง และร่างกายของมนุษย์ยังสามารถเปลี่ยนน้ำตาลที่กินเข้าไปให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ได้ทุกวันด้วย จากหนังสือ “Edtoxification & Healing : The Key to Optimal Health” ที่เขียนโดย นายแพทย์ Sidney MacDonald Baker. M.D. เมื่อปี 1997 หน้าที่ 28 บท “toxins from the gut” คุณหมอชิดนีย์ได้พูดถึงกรณีศึกษาใน “สาเหตุของเครื่องบินตก”(ความจริงเนื้อหามันยืดยาว ผมขอสรุปให้สั้นๆ แล้วกันนะครับ) เกิดเหตุเครื่องบินตก ตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลือดของศพนักบิน จากการตรวจสอบนักบินไม่ใช่คนกินเหล้า ก่อนขึ้นบินไม่ได้กินเหล้า แล้วทำไมมีแอลกอฮอล์ในเลือด ผลการตรวจสอบออกมาดังนี้ครับ “the alcohol accumulated because the pilot?s liver was not available to detoxify the alcohol as it was produced. He, like everyone, was making half an ounce of alcohol in his intestines everyday. He, like everyone, was taking this alcohol into his system.” แปลเป็นไทยครับ “ทุกวันจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารของทุกคน จะสร้างแอลกอฮอล์ขึ้นจากอาหารที่เรากินเข้าไป (โดยเฉพาะน้ำตาลหรือความหวาน) และแอลกอฮอล์เหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและปริมาณแอลกอฮอล์จะสะสมสูงขึ้นเรื่องๆ ถ้าตับไม่สามารถทำลายแอลกอฮอล์ทิ้งได้” ประเด็นสำคัญของนักบินคนนี้ก็คือ ถ้าตับไม่ดีแล้วกินหวานมาก ผลทีได้ก็จะเหมือนกันนักบินคนนี้กินเล้านั่นเอง หวังว่าหลายคงคงเห็นภาพรวมคร่าวๆว่าทำไม “หวาน” กับ “แอลกอฮอล์” อันตรายพอๆกัน อ่านมาถึงจุดนี้อย่ามานั่งเถียงกันเลยนะครับว่าจริงไม่จริง เชื่อไมเชื่อ ปล่อยให้เวลาและงานวิจัยใหม่ๆ เป็นตัวตัดสินดีกว่า กลับมาเข้าเรื่องต่อดีกว่า
🔴 101. ทำให้อาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ก่อนมีประจำเดือนเป็นมากขึ้น
🔴 102. กดการทำงานของเม็ดเลือดขาว (sugar suppress lymphocyte) (พูดง่ายๆ ก็คือกดการทำงานของภูมิต้านทานนั่นเอง) จากหนังสือของ นายแพทย์ James Braly ปี 1992 ชื่อ DR.BRALY’S FOOD ALLETGY & NUTRITION-REVLUTION หน้า 242 เรื่อง “how to eat” มีข้อความต่อไปนี้ครับ “In a sensitive individual, sugar has been shown to be the direct cause of inhicition of blood cells. End to lower immunity of certain important “scavenger” white blood cells. Consider the following scenario : after you consume a soda or a couple of cups of coffee with sugar and a Danish, these phagocytic white blood cells will pick up 75% fewer bacteria than before, and it will take about 6-8 hours to recover their former protective power.” แปลเป็นไทยครับ “ในบางคน น้ำตาลกดการทำงานของเม็ดเลือดโดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นตัวหลักของภูมิต้าน (เม็ดเลือดขาวมีหน้าที่สำคัญคือคอยทำลายเชื้อโรค และปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม) ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณกินน้ำอัดลม 1 กระป๋องหรือ กาแฟใส่น้ำตาล 1 ถ้วยแล้วตามด้วยขนมหวานอีก 1 ชิ้น เม็ดเลือดขาวของคุณจะทำงานลดลง 75% และจะเป็นอย่างนี้อยู่นาน 6-8 ชั่วโมงกว่าจะกลับมมาทำงานตามปกติ” มาดูอีกเล่มหนึ่งจากหนังสือ Low Carb Energy ฉบับเดือนมีนาคม 2005 หน้า 87 ชื่อเรื่อง “SUGAR a serious addiction you can break” รายงานนี้เขียนโดย แพทย์หญิง Christine Homer คุณหมอ คริสติน บรรยายเรื่องหวานกดภูมิต้านทานไว้ดังนี้ครับ “Researcher found that loading up on sweets paralyzes one of the most important types of cells in your immune system, a white blood cell called T lymphocyte. One big candy bar can dramaticaly drop the number of these cell that patrol your blood vessel highways and impair their ability to function by 50-94 %, for up to 5 hours afterward” แปลเป็นไทยนะครับ “นักวิจัยพบว่า การกินหวานมันจะไปกดภูมิต้านทาน โดยไปกดการทำงานของเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า T lymphocyte ยกตัวอย่างถ้ากินขนมหวานชิ้นใหญ่ ชัก 1 ชิ้น ความหวานจะกดการทำงานของเม็ดเลือดขาวประมาณ 50-94 % นาน 5 ชั่วโมง” พอได้แนวทางไปคิดต่อไหม๊ครับว่าทำไมเด็กๆที่กินขนมเป็นประจำถึงป่วยบ่อยทั้งๆที่เด็กก็ดูแข็งแรงดี จริงๆแล้วใครก็ตามที่ชอบกินหวานๆ (ขนมหวานผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม) ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ต้องป่วยง่ายอยู่แล้วและถ้ากินหวานลดลงก็จะป่วยลดลงเช่นกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วพูดถึงเรื่องหวานกดภูมิต้านทานแล้ว จะประสบการณ์ของผมเอง(เน้นว่าของผมเอง) ความหวานนอกจากจะกดภูมิต้านทานแล้วยังทำให้เกิดโรคภูมิต้านทานแปรปรวนได้ทุกรูปแบบ เช่น โรคภูมิแพ้ทั้งหลาย (คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม หอบหืด คันจมูก คันตา ผืนคันผิวหนัง ลมพิษ ฯลฯ) โรคแพ้ภูมิ(โรคที่ภูมิต้านทานทำลายเซลล์ของตัวเอง เช่น โรค SLE หรือที่เราเรียกกันทั่วๆไปว่า โรคพุ่มพวงข้ออักเสบรูมาตอยด์ สะเก็ดเงินหรือเรือนกวาง ฯลฯ) เท่าที่อ่านมาถึงตรงนี้คงมีหลายท่านมีความขัดแย้งทางความคิดเกิดขึ้นแล้วว่าทำไมหวานถึงอันตรายได้ขนาดนี้ เว่อร์ไปหรือเปล่า ลองอ่านไปเรื่อยๆ เผื่อความเป็นขุนนางอังกฤษ(ท่านเซ่อ) อาจจะลดลงบ้างโธ่ ล้อเล่น อย่าโกรธเลยครับ ยังไงผมก็เป็นขุนนางอังกฤษมาก่อนท่านเหมือนกัน อ่านต่อไปดีกว่า ผมขออธิบายเรื่องนี้คร่าวๆเสียเลยอีกครั้ง ในหนังสือ Improving genetic expression in the prevention of the diseases of aging โดย Joffrey S. Bland, Ph.D. และ institute for functional medicine ปี 1998 หน้า 69 ได้กล่าวถึงงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ (free radicals) ได้ง่ายขึ้นและมากขึ้นภายในหลอดเลือด และอนุมูลอิสระ เหล่านี้ก็จะทำลายผนังหลอดเลือดทั่วไปหมด โดยทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัว และหนาตัว ถ้าเราคิดต่อไป อนุมูลอิสระมันไม่ได้ทำลายเฉพาะผนังหลอดเลือดหรอกครับมันทำลายทุกอย่างที่เลือดวิ่งไปถึง เพราะอนุมูลอิสระมันเกิดขึ้นในเลือดและอยู่ในเลือด แล้วคราวนี้เลือดมันวิ่งไปไหนล่ะ มันก็วิ่งไปถึงทุกส่วนทุกเซลล์ของร่างกายเราน่ะสิ ลองย้อนกลับไปอ่านข้อ 50 และข้อ 58 ก็จะเข้าใจได้เร็วขึ้นเมื่อเลือดมันก็วิ่งไปถึงทุกส่วนทุกเซลล์ของร่างกายเราแล้วพาเอาอนุมูลอิสระไปด้วยก็จะเกิดการทำลายร่างกายในวงกว้างโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักๆ 2 ข้อคือ มีปริมาณอนุมูลอิสระมากหรือน้อยในเลือด กับอวัยวะ ส่วนไหนของเราที่มีจุดอ่อนมาแต่เดิม ก็จะเกิดโรคตามนั้น ในหนังสือของ Jeffrey Bland เขียนไว้ว่า “conditions of dysglycemia [hyporglycemia] result in a process termed glycation, which is the non-enzymatic reaction of glucose with protein in the extraoellular matrix resulting in the formation of advanced glycosylation endproducts[AGEs].The accurmulation of AGE proteins in turn results in increased oxidative strees.” อันนี้ผมคงไม่ต้องแปลเป็นไทยแล้วนะครับเพราะอธิบายมาเยอะแล้ว นี่ไงล่ะ ทำไมหวานถึงทำให้เกิดโรคได้ถึง 110 โรคกลับสู่เรื่องของเราดีกว่า
🔴 103. ลดการกินหวานละช่วยให้อารมณ์แปรปรวนลดลง
🔴 104. ถ้าเรากินคาร์โบไฮเดรตในรูปของของหวานจะทำให้เกิดไขมันได้ 2-5 เท่า เมื่อเทียบกับเรากินคาร์โบไฮเดรตในรูปของคาร์โบไฮเดรตเซิงซ้อน
🔴 105. การดูดซึมอย่างรวดเร็วของน้ำตาลส่งเสริมให้คนอ้วนทั่วไปกินอาหารได้เพิ่มขึ้น
🔴 106. ทำให้อาการของเด็กสมาธิสั้นแย่ลง
🔴 107. ทำให้ระดับเกลือแร่ในปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
🔴 108. ทำให้ความสามารถในการทำงานของต่อมหมวกไตลดลง (ทำให้ความสามารถในการทนต่อความเครียดลดลง)
🔴 109. ทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานที่ผิดปกติและทำให้เกิดภาวะเสื่อมต่ออวัยวะต่างๆ
🔴 110. เป็นปัจจัยเสี่ยงอันหนึ่งในการทำให้เป็นมะเร็งปอด
จบบริบูรณ์สำหรับ 110 ข้ออันตรายหรือโรคร้ายที่เกิดจากการกินจากหนังสือ “Lick the sugar habit” ของ Nancy Appleton, Ph.D. ทุกท่านที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้สมควรที่จะขอบคุณ ทุกท่านที่ได้เขียนหนังสือดีๆ อย่างนี้ออกมา ตั้งแต่ Nancy Appleton, Ph.D.(แนนซี่ แอพเพิลตัน) : Jeffrey Bland, Ph.D.(เจฟฟรีย์ แบลนด์) : Sidney Baker. M.D. (คุณหมอชิดนีย์ เบเกอร์) : james Braly. M.D. and Professer John E. Hall, Ph.D. : Kim Severson and Cindy Burke
ยังมีหนังสืออีก 2 เล่มที่เขียนเรื่องอันตรายของความหวานไว้น่าอ่านมากคือ
1. “Get the sugar out 501 simple ways to cut the sugar out of ant diet” by Ann Lousie Gittleman, M.S., C.N.S. ปี 1996
2. “The new sugar buster” by H. Leighton Steward Monrison C. Betha,M.D. Sam S. Andrew, M.D. Luis A. Balart,M.D.
แต่ก่อนที่เราจะจบเรื่องหวานยังมีประเด็นเรื่องหวานที่เกี่ยวกับ มะเร็ง ที่ควรรู้อยู่ 1 เรื่องคือ ความหวานเป็นอาหารที่ดีที่สุดของมะเร็ง มะเร็งจะโตเร็วมาก ถ้าคนไข้มะเร็งกินหวานๆ (ขนมหวาน ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม) จากหนังสือ “Get the sugar out 501 simple ways to cut the sugar out of ant diet” by Ann Lousie Gittleman, M.S., C.N.S.ปี 1996 หน้า xxiv “Once cells become cancerous, they feed directly on sugar” แปลเป็นไทยก็คือ “เมื่อเซลล์กลายเป็นมะเร็ง พวกมันดำรงชีพด้วยน้ำตาลโดยตรง” จากหนังสือ “Beating cancer with nutrition” โดย Patrick Qullin, Ph.D., R.D.C.N.S. ปี 1998 หน้า 14 “If you have been recently diagnosed with cencer,avoid any sweet foods,Sugar feeds cancer.” “ถ้าคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง หลีกเลี่ยงอาหารหวาน น้ำตาลเสี่ยงมะเร็ง”
จากรายงานของ Gordon Research Institute USA มีข้อความว่า “เซลล์มะเร็ง มี Glucose receptor (จุดสำหรับการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่เซลล์) มากว่าเซลล์ปกติ 24 เท่า แสดงให้เห็นว่าเซลล์มะเร็งมีความสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วมากและจำนวนมาก เพราะฉะนั้นคนไข้มะเร็งที่กินหวานก็เท่ากับส่งเสบียงให้เซลล์มะเร็งโดยตรง” เมื่อเซลล์มะเร็งโตเร็ว ก็จะลามเร็วและเมื่อเซลล์มะเร็งลามเร็วก็จะตายเร็วขึ้นครับ
ตั้งใจอ่านให้ดีข้อความต่อไปนี้จะทำให้คุณเข้าใจคำว่าน้ำตาลได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ลึกซึ้งกว่าเดิม และคุณไม่มีโอกาสที่จะกลับไปเป็นขุนนางอังกฤษ (ท่านเซ่อ) อีก มันก็ต้องมีคุยเล่นกันบ้าง ไม่งั้นก็ง่วงนอนกันหมด ตั้งใจอ่านให้ดีนะครับจากหนังสือ “Textbook of Medical Physiology” โดย Professor Authur C. Guyton, M.D. and Professor John E. Hall,Ph.D. ปี 2000 หน้า 772 “After absorption from the intestinal tract. Much of the fructose and most all the galactose are then rapidly converted in the liver into glucose” แปลเป็นไทยครับ “หลังจากถูกดูดซึมจากทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดส่วนใหญ่ของน้ำตาลฟรุคโตส (น้ำตาลจากผลไม้) และน้ำตาลกาแลคโตส (น้ำตาลจากนม) จะถูกตับเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคสอย่างรวดเร็ว” แปลว่าคุณกินน้ำตาลแบบไหนลงท้ายคุณก็ได้น้ำตาลกลูโคสเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณเกลียดน้ำตาลทราย แล้วหันไปกินผลไม้ ลงท้ายคุณได้น้ำตาลเหมือนกันคุณอาจบอกว่าผลไม้มีไวตามิน และเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ ได้โปรดอย่าตะแบงเอาจุดดีเล็กๆ มากลบจุดเสียใหญ่ๆ ถ้าคุณต้องการไวตามินและเกลือแร่รับรองได้ว่าผักมีไวตามิน และเกลือแร่มากมาย แถมไม่มีน้ำตาลอีกต่างหากข้อเสียของผักคือ ไม่อร่อย บางคนบอกว่าผักมียาฆ่าแมลง ฟอร์มาลีนเยอะรับรองได้ว่าผลไม้ก็ไม่ได้น้อยกว่าเลยในประเด็นนี้เวลาซื้อผักก็เลือกผักปลอดสารกันหน่อย หลายคนอาจบอกว่าผักปลอดสารก็เชื่อไม่ค่อยได้ ถึงได้บอกไงว่าต้องเลือกเชื่อกันหน่อย หลายคนถามว่าผมล้างผักด้วยอะไร ผมล้างผักโดยแช่ในน้ำเอ็นไซม์หรือน้ำหมักชีวภาพหรือน้ำ EM โดยแช่ทิ้งไว้นาน 1 ชั่วโมง แล้วค่อยล้างน้ำเปล่าอีก 2 ครั้ง