นมวัว

ข้อมูลบางอย่างของ นมวัว ที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน

🔴 จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 24 ตุลาคม 2544 “ด้านมืดของนม โรคร้ายรุมทึ้ง” ใจความสำคัญของบทความนี้ คือ นมเป็นสาเหตุของโรคร้ายมากว่า 50 ชนิด เช่น ภูมิแพ้, เบาหวาน, กระดูกผุ ฯลฯ รัฐบาลมาเลเซียจัดทำโครงการลดการบริโภคนม มาตั้งแต่ปี 1996 อ้างว่ารวบรวมงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย

🔴 จากหนังสือ The Circadian Prescription โดย นายแพทย์ ซิดนี่ย์ เบเกอร์ ปี 2000 หน้า 61 มีบทความอยู่บทหนึ่ง แปลได้ว่า ทีมวิจัยที่นำโดย อลัน ฟรายด์แมน ใน โรเซสเตอร์ นิวยอร์ค ได้ตรวจพบเปปไทด์ ซึ่งมาจากนมวัวในปัสสาวะของเด็กออติสติก ซึ่งเหมือนกับสารกระตุ้นประสาทหลอน ที่พบในพิษของกบที่มีพิษในป่าอเมซอน ซึ่งหมายความว่า ถ้าเด็กกินนมวัวแล้วระบบการย่อยอาหารของเด็กมีปัญหา ย่อยโปรตีนของนมวัวไม่ดี ทำให้โปรตีนที่ย่อยไม่ดีบางส่วน มีลักษณะเหมือนสารกระตุ้นประสาทหลอน อาจจะทำให้เกิดพิษที่มีความรุนแรงต่อระบบสมองและประสาทของเด็กได้ ซึ่งก็คือที่มาของโรคออติสติกนั่นเอง

🔴 จากหนังสือ Alternative Medicine. The Definitive Guide ปี 1997 หน้า 511 ข้อความมีดังนี้ “เด็กในช่วงอายุ 6 เดือนแรก ถ้าเด็กกินนมวัวเด็กอาจจะเกิดการแพ้โปรตีน lactalbumin ในนมวัว จะทำให้ภูมิต้านทานของเด็กมีการทำลายเซลล์ของตับอ่อนที่เป็นตัวสร้างฮอร์โมนอินซูลินทำให้เมื่อเด็กโตขึ้นมีโอกาสที่จะเป็นเบาหวานง่ายกว่าคนอื่น” เนื่องจากลักษณะโครงสร้างโมเลกุลของโปรตีนวัวที่ชื่อ แลคเทาบูมีน มีลักษณะคล้ายโครงสร้างของเซลล์ตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน (พูดง่ายๆเซลล์ตับอ่อนของเด็กเล็กๆ มีหน้าตาล้ายๆแลคเทาบูมิน(โปรตีนนมวัว) ถ้าภูมิต้านทานผิดพลาดนิดเดียวก็จะเกิดการทำลายตับอ่อนได้ ส่งผลให้เด็กมีโอกาสที่จะเป็นเบาหวานง่ายขึ้น

🔴 จากหนังสือ Food Allergy & Nutrition Revolution โดยนายแพทย์เจมส์ เบรลี่ย์ ปี 1992 หน้า 294-295 สรุปใจความสำคัญได้ดังนี้ว่า
นมวัวเป็นสาเหตุสำคัญของ
– เด็กเล็กๆ ปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ (ปวดท้อง colic)
– หูน้ำหนวก (ทั้งแบบแก้วหูทะลุและแก้วหูไม่ทะลุ)
– หอบหืด
– ไซนัสอักเสบ
– เลือดกำเดา
– ปวดหัว
– ท้องผูก ถ่ายอุจจาระเป็นเม็ดๆ
– ฉี่รดที่นอน
– ออติสติก สมาธิสั้น
– ลมพิษ ผื่นคันผิวหนัง (eczema)
– ข้ออักเสบรูมาตอยด์
– ภูมิแพ้ และระบบทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง
– นมทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง
– นมมีกรด arachidonic สูง ทำให้เกิดปัญหาหลอดเลือดอุดตันในเด็ก

🔴 จากหนังสือ The Cancer Prevention Diet โดย มิซิโอะ คูซิ ปี 1993 หน้า 113 บทเรื่อง “มะเร็งเต้านม” อย่าลืมว่าเต้านมเป็นเนื้อเยื่อไขมันที่ถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนเพศหญิง ดังนั้นไขมันที่เรากินเข้าไป ฮอร์โมนที่เรากินเข้าไป ย่อมมีผลโดยตรงต่อเต้านม ในหนังสือเล่มนี้บอกว่า สาเหตุของมะเร็งเต้านมสัมพันธ์กับการกิน นมวัว, เนย และผลิตภัณฑ์อื่นๆของนมวัว ไข่, น้ำมัน, อาหารมันๆ อย่าลืมว่าวัวตัวเมียเท่านั้นที่มีนม เพราะฉะนั้น น้ำนมวัวก็จะเต็มไปด้วยไขมัยและฮอร์โมนเพศเมีย ผู้หญิงที่ดื่มนมเป็นประจำก็รับไปเต็มๆทั้งไขมันสัตว์และฮอร์โมนสัตว์ กระตุ้นเต้านมสุดๆ อาจทำให้เกิดเนื้องอกได้

🔴 จากหนังสือ The Cancer Prevention Diet โดย มิซิโอะ คูซิ ปี 1993 หน้า 115 มีข้อเปรียบเทียบที่น่าคิดส่วนที่ว่าใครอ่านแล้วจะคิดอย่างไรก็เป็นสิทธิส่วนตัวครับ เป็นข้อเปรียบเทียบระหว่างลูกคนกับลูกวัวลูกวัว
เมื่อคลอดออกมาได้ 6 สัปดาห์ น้ำหนักเพิ่มขึ้น 75 ปอนด์
ลูกคน เมื่อคลอดออกมาได้ 6 สัปดาห์ น้ำหนักเพิ่มขั้น 3 ปอนด์
ลูกวัว เมื่อคลอดออกมา สมองและระบบประสาท สมบูรณ์ 100 %
ลูกคน เมื่อคลอดออกมา สมองและระบบประสาท สมบูรณ์ 23 %
สารอาหารในน้ำนมวัวเพิ่มน้ำหนักและขนาด แตกต่างระหว่างคนและวัวตั้ง 20 เท่า ถามตัวเองเถอะครับว่าสารอาหารที่กระตุ้นน้ำหนักและขนาดแบบนั้นจะเหมาะกับลูกคนหรือไม่ และสารอาหารที่จะช่วยการเจริญเติบโตของสมองจะมีหรือเปล่าในนมวัว เพราะสมองของลูกวัวเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว

🔴 ข้อนี้จะเป็นการพูดถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของนมวัว ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมเอง

– หลายท่านที่เคยเลี้ยงลูกเองตอนลูกเป็นเด็กเล็กๆ ที่ยังกินนมอยู่เคยสังเกตุไหม๊ครับว่าบางครั้งตอนกลางคืน แอร์ในห้องนอนก็เย็นแสนเย็น แต่ลูกเราเหงื่อแตกพลั่กๆ เลย หายสงสัยได้แล้วครัว โถ ก็ให้กินนมซะขนาดนั้น (เอ…เรียกว่ากินหรืออัดเข้าไปดีนะ) ก็ให้กินนมซะขนาดนั้น แคลอรี่เกินสุดๆ พลังงานเกินสุดๆ ถ้าเป็นเครื่องยนต์ก็เรียกว่าโอเว่อร์ฮีทแล้ว ไอน้ำพุ่งแล้ว แต่นี่เป็นคนก็เลยระบายความร้อนด้วยการเหงื่อออก คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายลองเก็บไปคิดดูครับ วิธีพิสูจน์ก็ง่ายนิดเดียว ลดนมลงหรือให้กินน้อยๆ หรือเลิกมื้อกลางคืนไปเลย อาการก็จะหายไปเอง

– ถ้าไม่ให้เด็กกินนมแล้วจะให้เด็กกินอะไร คำตอบ นมวัวไม่ใช่อาหารของคนอยู่แล้ว ข้อเสียในระยะยาวของการกินนมวัว มีมากกว่าข้อดีอย่างชัดเจน เลิกกินนมวัวได้ถือเป็นโชคดีอยู่แล้ว แต่เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางด้านความคิดและการปฏิบัติ รวมทั้งสภาพในชีวิตประจำวันในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ในช่วง 3-4 ขวบแรกของอายุเด็ก ถ้าจำเป็นที่จะต้องให้เด็กกินนมก็ให้กินได้โดยมี 2 แนวทาง คือ
1. จะให้เด็กกินนมวัวก็ได้ แต่ถ้าเด็กเกิดมีอาการแทรกซ้อนอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เราได้เล่าสู่กันฟังมาแล้ว ก็ควรเลิกหรือลดนมวัวลง
2. เหมือนข้อ 1 แต่พยายามให้เด็กกินอาหารอย่างอื่นร่วมด้วยเช่น โจ๊ก ฯลฯ และถ้าฟันงอกดีแล็วก็ควรให้เด็กกินอาหารที่หลากหลายขึ้นให้เหมือนผู้ใหญ่ แทนการกินนมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะสามารถเลิกนมได้ 100 % เมื่ออายุ 3-4 ขวบ แต่ก็หลักการเดียวกันคือ ถ้าเด็กเกิดมีอาการแทรกซ้อนอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เราได้เล่าสู่กันฟังมาแล้ว ก็ควรเลิกหรือลดนมวัวลง แต่อย่างไรก็ตามต้องพยายามกระตุ้นให้เด็กกินอาหารที่หลากหลายเหมือนที่ผู้ใหญ่กินและควรเริ่มอย่างจริงจังเมื่อเด็กมีฟันงอกดีแล้ว

🔴 ทำไมเด็กกินนมแล้วร่างกายสูงใหญ่ ข้อนี้ถึงแม้จะไม่มีงานวิจัยออกมาอย่างชัดเจน แต่ลองมาฟังความคิดเห็นแบบสามัญสำนึก ดูบ้างนะครับในน้ำนมวัวมีฮอร์โมน กระตุ้นการเจริญเติบโต (growth hormone) ของวัวและสารอาหารต่างๆ ที่ช่วยการเจริญเติบโตของวัว แต่จะดีอย่างไรก็ตาม ลูกวัวเองก็กินนมแค่ปีเดียว ไม่ได้กิน 5 ปี 10 ปี แต่ลูกคนดันเอาอาหารแบบนี้ มากินอย่างยาวนาน 5 ปี 10 ปี คิดดูซิครับว่า ฮอร์โมนและสารอาหารเหล่านั้นกระตุ้นร่างกายของเด็กๆ ขนาดไหน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง กลายเป็นคนที่ร่างกายสูงใหญ่ผิดจากพ่อแม่อย่างชัดเจน ถ้าลองมามองเชิงลบนี่คือการทำ GMO ในเด็กโดยใช้ฮอร์โมนสัตว์ พูดให้ชัดๆ นี่คือการตัดต่อพันธุกรรมหรือเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมเด็กโดยใช้ฮอร์โมน สัตว์เป็นตัวกระทำ อย่าเพิ่งพูดว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ เก็บไปคิดดูครับ

🔴 จากหนังสือ The Enzyme Cure โดย Dr.Lita Lee ปี 1998 หน้า 49 ปัจจุบันมีการใช้ Bovine growth hormone ซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ กระตุ้นการเจริญเติบโตในนมวัว เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ทำให้วัว มีน้ำนมเพิ่มขึ้นอีก 25 % คนที่กินนมที่ได้จากวัวเหล่านี้ จะได้ข้อเสียอะไร ถ้ากินนมที่มีฮอร์โมนเหล่านี้ตกค้าง ผลก็คือ Bovine growth hormone จะกดการทำงานของระบบภูมิต้านทานของร่างกายคนๆ นั้น

🔴 นมวัวไม่ใช่แหล่งของแคลเซียมที่ดีตามที่หลายๆคนเชื่อกันวัวกินหญ้าจึงทำให้มีแคลเซียมในนม ดังนั้นแหล่งของแคลเซียมส่วนใหญ่อยู่ที่พืชผัดและธัญพืช แน่นอน เราไม่ได้มีหลายกระเพาะเหมือนกับสัตว์เคี้ยวเอื้องเหล่านี้ แต่ระบบทางเดินอาหารของเราก็สามารถย่อยและดูดซึมแคลเซียมได้ดีทีเดียว และเรื่องกระดูกผุที่เป็นภาวะฮิตของคนปัจจุบัน สาเหตุของกระดูกผุที่ผมมีอยู่ในมือ มันคนละเรื่องกับที่คนทั่วไปได้รับรู้เลยละครับ เดี๋ยวว่างๆจะอธิบายให้ฟังครับ

🔴 ในหนังสือ Improving genetic expression in the prevention of the diseases of aging โดย Jeffery S. Bland, Ph.D, และ institute for functional medicine ปี 1998 หน้า 68 มีข้อความดังต่อไปนี้ครับ “There is now some evidence to suggest that the cow’s milk protein beta-lactglobulin may, in certain children, trigger nonspecific upregulation of the production of antibodies that reect with the cell surface receptors. This activity, in tum. Could trigger the autoimmune process found in IDDM” แปลเป็นไทยแบบง่ายๆ คือ “มีข้อมูลบางอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า โปรตีนในนมวัวที่เรียกว่า เบต้าแลกโตกลอบบูลิน ไปกระตุ้นให้เกิดภาวะภูมิต้านทานทำลายจุดกระตุ้นของฮอร์โมนอินซูลินที่ผนังเซลล์ และส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานในเด็กบางคน”

🔴 จากวารสาร Alternative Medicine ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2001 หน้า 18 มีหัวข้อของงานวิจัยว่า ?Milk protein is a probable cause of atisrn and ADHD (attention deficit hyperactive disorder)? แพทย์เจ้าของงานวิจัยอยู่ในฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ชื่อ นายแพทย์ โรเบิร์ท เคท และทีมงานของเค้าได้ตรวจพบโปรตีนชนิดหนึ่งในนมวัวที่มีชื่อว่า “casomorphin” และได้ตั้งข้อสังเกตว่าโปรตีนตัวนี้อาจเป็นต้นเหตุของโรค ออติสติก และสมาธิสั้น เนื่องจากได้ตรวจพบโปรตีนนี้มีปริมาณสูงมากในเลือดและปัสสาวะของเด็กที่ป่วยเป็นโรคออติสติก และสมาธิสั้น (และในคนไข้โรคจิตประเภทที่เรียกว่า schizophrenia ด้วย) ส่วนในรายงานอื่นๆก่อนหน้านี้ ก็ได้มีรายงานไว้แล้วว่า โปรตีนชนิดนี้สามารถกระตุ้นให้อาการของโรค ออติสติก และ สมาธิสั้น รุนแรงขึ้นได้

หลายคนอาจอยากถามว่าทำไมเด็กคนอื่น กินนมแล้วไม่เป็นแบบนี้ ถ้าคุณมีความรู้ 2 เรื่องคือ โปรตีนคืออะไร และระบบทางเดินอาหารย่อยแปรสภาพโปรตีนได้อย่าวไร คุณคงน่าจะเข้าใจรายงานของนายแพทย์ โรเบิร์ท เคท และทีมงาน ไปบ้างแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังสงสัยอยู่ ลองมาฟังผมอธิบายคร่าวๆ ดูนะครับโปรตีนทั้งหลายที่คนกินเข้าไปจะถูกน้ำย่อยโปรตีน ย่อยให้กลายเป็นโมเลกุลโปรตีนที่เล็กที่สุดที่เรียกว่า กรดอะมิโน แล้วจึงถูกดูดซึมจากลำไส้เข้าสุ่ร่างกาย ในเด็กทั่วๆไป โปรตีนแคสโซมอร์ฟิน (casomorphin) ก็จะต้องถูกย่อยและเมื่อถูกย่อยแล้วก็จะหมดความสามารถ ที่จะกระตุ้นสมอง เมื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็เป็นกรดอะมิโนธรรมดาทั่วๆไป แต่ในเด็กที่เป็นโรคออติสติก และสมาธิสั้น ระบบย่อยของเด็กเหล่านี้มีปัญหาไม่สามารถย่อยโปรตีนได้ดี ทำให้โปรตีนแคสโวมอร์ฟิน (casomorphin) ไม่ถูกย่อยและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและไปกระตุ้นสมอง ทำให้สมองทำงานผิดปกติ อ่านมาถึงตรงนี้ อาจมีหลายคนแย้งว่าโปรตีนไม่ย่อยแล้วมันถูกดูดซึมเข้าไปได้อย่างไร ขอให้ไปอ่านจากหนังสือ Clinical Nutrition A Function โดย Institute For Functional Medicine ปี 1999 หน้า 54 เรื่อง “Biological active pepticles” ระบุไว้ว่า ปัจจุบันเราค้นพบว่า สารอาหารหลายอย่างโดยเฉพาะโปรตีน สามารถถูกดูดซึมได้โดยไม่จำเป็นต้องถูกย่อย สามารถถูกดูดซึมในลักษณะที่เป็นโมเลกุลใหญ่ได้เลย และถ้ายังสงสัยอยู่อีกคุณสามารถเข้าไป google แล้วค้นหาคำว่า “leaky gut” คุณก็จะเข้าใจได้เลยว่า “ภาวะลำไส้รั่ว ดูดซึมมั่วไปหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร” หลายคงอาจสงสัยต่อว่าแล้วแม่วัวมันสร้างโปรตีนแคสโวมอร์ฟิน (casomorphin) มาทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย ขอโทษที ธรรมชาติมีเหตุผลอยู่ 2 ข้อที่คุณอาจจะยังไม่ทันคิด

ข้อที่ 1 ในสภาพป่าธรรมชาติ วัวเป็นสัตว์กินพืช ในห่วงโซ่อาหารวัวถูกจัดให้เป็นสัตว์ที่ถูกล่าโดยสัตว์ที่กินเนื้อ และลูกวัวก็เป็นเหยื่อที่ง่ายที่สุดที่จะถูกล่า ดังนั้นลูกวัวก็ต้องตื่นตัวตลอดเวลาเพื่อที่จะอยู่รอด โปรตีนแคสโวมอร์ฟิน (casomorphin) ก็จะมีประโยชน์ตอนนี้แหละ ทำให้ลูกวัวตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะวิ่งหนีเมื่อถูกล่า ซิบเป๋งละซิ อีตอนนี้พอลูกคนเอามากิน เลยทำให้ตื่นตัวไม่เลิก แต่ไม่เคยถูกล่า เลยทำให้วิ่งพล่านไปทั่วห้องแทน กลายเป็นโทษไปเสียเลย

ข้อที่ 2 ธรรมชาติ มันจะรู้ไหม๊เนี่ย ว่าคนจะไปขโมยกินนมสัตว์ข้ามสายพันธุ์ กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกขนาดนี้ สารอาหารเหล่านี้ไม่ได้ถูกเตรียมไว้สำหรับระบบย่อยอาหารของคน เด็กคนไหนระบบย่อยอาหารดีหน่อยก็รอดไปเด็กคนไหนระบบย่อยอาหารบกพร่องหน่อยก็ซวยไป เฮ้อ ไม่รู้จะเรียกว่ากรรมของวัวหรือกรรมของคนดีนะ หลายคนอาจจะบอกว่าธรรมชาติมันต้องมีวิวัฒนาการซิ เดี๋ยวร่างกายมันก็ปรับตัวเองแหล่ะ ปกติวิวัฒนาการโดยเฉลี่ยมันใช้เวลาเป็นหมื่นปีเป็นแสนปี แล้วเกิดอะไรขึ้นกับรุ่นแรกๆ ที่ยังปรับตัวไม่ได้ง่ายนิดเดียวก็ล้มหายตายจากไปไงล่ะ บังเอิญนมเพิ่งมาเป็นอาหารท๊อปฮิตได้ 100 กว่าปีนี่เอง ระบบทางเดินอาหารของเด็กรุ่นนี้บางคนเลยปรับตัวไม่ทันก็โชคร้ายไปตามระเบียบ ทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้จะแก้ไขอย่างไร ช่วยกันคิดหน่อยเร็วววววๆ

ต้องขอขอบคุณกับข้อมูลดีๆของหนังสือ “ทำไมคุณถึงป่วย?” ของ นพ.เปี่ยมโชค ชลิตาพงศ์ ที่ได้ให้ข้อมูลและแนวคิด เกี่ยวกับโภชนาการบำบัดได้เป็นอย่างดี