ภาวะลำไส้รั่ว
(leaky gut syndrome)
หลายคนอาจไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย โรคที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักนี้ เป็นโรคหรือกลุ่มอาการที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ได้โปรดค่อยๆอ่าน แล้วเก็บไปค่อยๆ พิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดครับ
มีเด็กหญิงอายุ 14 ปี มีชื่อเล่นว่า “น้องนุ้ย” ป่วยเป็นโรคภูมิต้านทานทำลายเซลล์ตัวเอง (SLE, autocimmune disease, โรคพุ่มพวง) ได้รับการวินิจฉัยมาจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง อาการเบื้องต้นก็คือ ผื่นตามตัว ปวดตามข้อต่างๆ และมีตัวบวม (จากการที่ไตทำงานผิดปกติ ได้ยาเพรดนิโซโลน (สเตอรอยด์) มากินวันละ 6 เม็ด และยากดภูมิต้านทานชื่ออิมมิวแลน มากินด้วย กินไปกินมา อาการที่เป็นมาแต่แรกๆ ก็เบาลงทั้ง ผื่นตามตัว ปวดตามข้อต่างๆ และมีตัวบวม (จากการที่ไตทำงานผิดปกติ) แต่ตอนนี้เกิดปัญหาใหม่ น้องนุ้ยหน้ากลมเป็นพระจันทร์ (moon face) ทำให้ไม่กล้าไปโรงเรียน เพราะว่าเพื่อนล้อ แม่ของน้องนุ้ยพามาพบผม ผมถามว่า น้องนุ้ยอยากหายไหม เด็กตอบชัดเจนว่า ให้ทำอะไรก็ได้ขอให้หายก็แล้วกัน ผมเลยบอกเด็กไปว่า ให้เลิกกินหวานทุกชนิดแค่นี้แหล่ะ (ขนม ผลไม้ทุกชนิด น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม ต่อไปนี้เมื่อไหร่ที่ผมอ้างถึง “หวาน” ก็ขอให้ทุกคนเข้าใจเลยนะครับว่าหมายถึงของ 5 อย่างนี้) น้องนุ้ยรับปากผม ภายใน 3 สัปดาห์ เด็กสามารถลดยาแพรดนิโซโลน (สเตอรอยด์) มาเหลือวันละ 2 เม็ด โดยที่อาการทั่วๆไป ไม่มีอะไรผิดปกติ ในที่สุดเมื่อครบ 3 เดือน เด็กสามารถหยุดยาทุกอย่างได้หมดผ่านมา 2 ปี ยังปกติอยู่ น่าเสียดายที่เด็กรายนี้ขาดการติดต่อกับผมไปผมรับรองได้ว่าคนที่พอจะมีความรู้ทางด้านการแพทย์อยู่บ้างหลายคนที่อ่านมา ถึงตรงนี้คงพูดว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเนื่องจากเป็นโรคที่ยังไม่รู้สาเหตุ มีคนไข้ตั้งเยอะที่เป็นๆอยู่ แล้วก็หายเอง หรือบางคนก็เป็นๆหายๆ หรือบางคนก็ไม่หายเลยก็มี ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องการกินหวานหรือภาวะลำไส้รั่ว (leaky gut syndrome) เลยซักหน่อย ก็ไม่ว่ากัน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกรับข้อมูลและพิจารณาเรื่องต่างๆ แต่ถ้าใครที่มีญาติป่วยเป็นโรคเหล่านี้ ลองเข้าไปศึกษาข้อมูลเหล่านี้เรื่อง leaky gut syndrome ในอินเตอร์เน็ต หรือตำราแพทย์ทางเลือก ที่ตีพิมพ์ใหม่ๆ ในสหรัฐอเมริกา แล้วลองให้ผู้ป่วยเลิกกิน “หวานทั้ง 5” ดูก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย โดยมีข้อสำคัญที่ว่าห้ามลดหรือหยุดยาใดๆ โดยพลการเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ ถ้าผ่านไป 2 สัปดาห์ แล้วอาการดีขึ้นกว่าเดิมทั้งที่ใช้ยาเท่าเดิม น่าจะเป็นแนวทางเบื้องต้นที่ทำให้พอมองเห็นอะไรบ้างแล้ว
ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่งเด็กผู้หญิงอายุ 17 ปี (เป็นโรคนี้มาตั้งแต่ 10 ขวบ) มีชื่อเล่นว่า “น้องยู” ป่วยเป็นโรคเกล็ดเลือดต่ำ (ITP) มีจ้ำเลือดตามตัวเป็นๆ หายๆ ได้ยาเพรดนีโซโลน (สเตอรอยด์) เป็นครั้งคราวทุกครั้งที่อาการกำเริบ เวลาที่อาการกำเริบ ไปเจาะเลือดตรวจก็มักจะพบว่าเกล็ดเลือดต่ำกว่า 50,000 ทุกครั้ง สร้างความหวาดเสียวให้กับพ่อแม่และน้องยูทุกครั้งไป และเด็กก็เจอปัญหาเหมือนน้องนุ้ย “หน้ากลมเป็นพระจันทร์ (moon face)” รายนี้เด็กเริ่มโตแล้ว เด็กเริ่มกังวลเมื่อรู้ว่า สเตอรอยด์ กินไปนานๆไม่ดี อย่างน้อยที่สุดก็กัดกระเพาะ กระดูกบาง ไตไม่ดี หน้าบวม เด็กกังวลว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะมีชิวิตแบบคนปกติได้ไหม น้องยูก็เหมือนน้องนุ้ย หลังจากหยุดเรื่องหวานไปได้ 6 เดือน อาการของโรคก็หายไปจนบัดนี้ เป็นระยะ 2 ปีกว่าแล้ว แต่รายนี้ยังไม่ได้ขาดการติดต่อกับผม ล่าสุดเดือนกรกฏาคม 2550 ผมได้คุยกับป้าของเด็ก ก็ได้ทราบว่า เด็กปกติดีอยู่ หลายๆ คนอาจจะยังบอกว่าเรื่องบังเอิญมั้ง ไม่เป็นไร ใครจะพูดอะไรก็ได้ ยังไงไดโนเสาร์ก็ต้องสูญพันธุ์อยู่ดี ไม่ช้าก็เร็ว (เอ…แรงไปหรือเปล่าหว่า…เอาเป็นว่า…ผมเองแหล่ะที่เป็นไดโนเสาร์)
รู้มั้ยครับทำไมผมเล่าเรื่องเด็ก 2 คนนี้ให้ฟัง ก็เพราะว่านี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ของโรคที่เกิดจากเรื่องภาวะลำไส้รั่ว (leaky gut syndrome) คราวนี้เราจะมาเข้าเรื่องเลยครับว่าอะไรเป็นสาเหตุของโรคนี้และเมื่อเกิดปัญหาแล้วมันทำให้เกิดโรคอะไรบ้าง
ที่มาของโรคนี้ ก็คือ ในกระเพาะและลำไส้ของคนเรามีเชื้อราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเชื้อราที่มีชื่อว่า “candida albicans” แล้วเชื้อราเหล่านี้ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะและลำไส้ผิดปกติ จากปกติที่เคยดูดซึมแต่สารอาหารที่ดีมีประโยชน์ และไม่เป็นอันตราย แต่คราวนี้ลำไส้มีการอักเสบ ลำไส้เลยทำงานผิดปกติปล่อยให้ทั้งสารอาหารและสิ่งที่ไม่ใช่สารอาหารสามารถซึมผ่านจากทางเดินอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ สิ่งที่ไม่ใช่สารอาหารและอยู่ในลำไส้ของเรา ลงท้ายของพวกนี้จะกลายเป็นอะไร? ขอ…สระอี…ไม้โท…ครับผม…ขอโทษครับ…ช่างไม่สุภาพชะจริงๆ หมออะไรนะเนี่ย เปลี่ยนใหม่ก็ได้ครับ…ลงท้ายของที่ไม่ได้สารอาหาร และอยู่ในลำไส้ของเรา ก็จะกลายเป็น “อุจจาระ” ครับ อุจจาระของเราประกอบไปด้วยอะไรบ้าง (คร่าวๆนะครับ)
1. อาหารที่ย่อยไม่สมบูรณ์หรือย่อยไม่ได้
2. แบคทีเรียและเชื้อราทั้งที่ตายแล้วและยังมีชีวิตอยู่
3. ของเสียต่างๆที่เกิดจากการหมักหมมเน่าเสียของอาหารและเชื้อโรคที่ค้างอยู่ในทางเดินอาหาร
ปกติลำไส้ของเราจะไม่ยอมให้ส่วนที่เป็น “อุจจาระ” แบบนี้สามารถซึมผ่านเข้าไปภายในร่างกายได้เลย แต่คราวนี้ลำไส้มีการอักเสบ ลำไส้เลยทำงานผิดปกติปล่อยให้ทั้งสารอาหารและสิ่งที่ไม่ใช่สารอาหาร สามารถซึมผ่านจากทางเดินอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ สิ่งที่ไม่ใช่สารอาหารและอยู่ในลำไส้ของเรา ก็คือ 3 ข้อที่กล่าวไว้นั่นเองครับ
แล้วเกิดอะไรขึ้น?…เมื่อของเหล่านี้สามารถเข้าไปภายในร่างกายของเราได้ ขอย้อนกลับไปพูดถึง…ตามปกติก่อนว่า…ภายในร่างกายของเราโดยเฉพาะระบบ ภูมิต้านทานของเราจะเคยชินหรือคุ้นเคยกับโมเลกุลของสิ่งที่เป็นสารอาหารตามปกติเท่านั้น (เนื่องจากถ้าลำไส้ทำงานดีตามปกติ ก็จะดูดซึมเฉพาะโมเลกุลของสิ่งที่เป็นสารอาหารตามปกติเท่านั้นเข้าไปในร่างกายของเรา) แต่คราวนี้ลำไส้มีการอักเสบลำไส้เลยทำงานผิดปกติปล่อยให้สิ่งที่ไม่ใช่สารอาหาร สามารถซึมผ่านจากทางเดินอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ สิ่งที่ไม่ใช่สารอาหารเหล่านี้ ระบบภูมิต้านทานของเราจะไม่เคยชิน หรือคุ้นเคยกับโมเลกุลของสิ่งที่ไม่ใช่เป็นสารอาหารเหล่านี้ ระบบภูมิต้านทานจะต่อต้านสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ถ้าสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายมากๆๆๆๆ…ภูมิต้านทานก็ต้องทำงานหนักมากๆๆๆ…จนถึงจุดจุดหนึ่ง…ก็จะเกิดการทำงานที่ผิดปกติของภูมิต้านทาน และนี่คือที่มาของการเกิดโรคที่ภูมิต้านทานผิดปกติต่างๆ เช่น ภูมิแพ้ต่างๆมากมาย(เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม หอบหืด ผื่นแพ้ตามตัว ลมพิษ) รวมถึงโรคที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิต้านทานต่างๆ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (หรือที่เรียกทั่วไปว่าโรคภูมิต้านทานทำลายเซลล์ตัวเองหรือโรคพุ่มพวง ถ้าฝรั่งหน่อยก็เรียกว่า SLE หรือ autoimmune เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ soleroderma กล้ามเนื้ออักเสบ (fibromyalgia) สะเก็ดเงิน ฯลฯ)
เริ่มเห็นความจริงที่น่ากลัวแล้วหรือยัง…ผมไม่ได้ขู่ใครให้กลัว…แต่กำลังพยายามให้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือจากตำราต่างประเทศ…ผมย่อมทราบดีกว่าการเขียนหนังสือที่ไม่ระมัดระวัง อาจนำไปสู่การเป็นตัวตลกในอนาคตได้…ดังนั้นหลายๆอย่างที่อยู่ในหนังสือ ผมพยายามลองกับตัวเองก่อนเริ่มเข้าใจและมั่นใจว่า “มีความน่าจะเป็นจริงสูงมาก” จึงได้นำมาถ่ายทอดให้ท่านๆได้รับทราบ เผื่อใครที่กำลังมืดแปดด้านกับความเจ็บป่วยบางอย่างที่เป็นอยู่ จะได้พอมีทางออก แต่ก็อยากให้หลายๆท่านได้ทราบอีกว่า “บางโรคใช้ธรรมชาติบำบัดอยย่างเดียวก็ได้ผล บางโรคใช้แผนปัจจุบันอย่างเดียวก็ได้ผล บางโรคควรใช้ธรรมชาติบำบัดและแผนปัจจุบันร่วมกันถึงได้ผลดีและไม่ต้องทรมานมาก บางโรคถึงแม้จะใช้ธรรมชาติบำบัดร่วมกับแผนปัจจุบันก็ไม่ได้ผล…ก็มี” บางทีก็ต้องทำใจเพราะทำอะไรไม่ได้เลย…
นอกเรื่องไปไกล กลับมาตั้งหลักใหม่ต่อไปก็จะเป็นสาเหตุของโรคลำไส้รั่ว…ที่หลายคนคงอยากรู้ สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ…
สาเหตุของโรคลำไส้รั่ว
– การกินหวาน (ขนม ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม อันนี้รวมถึงนมวัวด้วย…ทำไม?…บางท่านอาจไม่ทราบว่าในนมวัวจืดนั้นมีน้ำตาลจืดที่เรียกว่า “แลคโตส” อยู่ประมาณ 4-5% ดังนั้นนมจืดก็มีน้ำตาลอยู่มากแล้ว คุณไม่สามารถใช้ลิ้นของคุณวัดปริมาณน้ำตาลในอาหารได้หรอก เพราะน้ำตาลธรรมชาติทั้งจากพืชหรือสัตว์ อาจรสขมก็ได้เปรี้ยวก็ได้ จืดก็ได้ ฝาดๆ ก็ได้) ส่วนสาเหตุที่เหลือก็จะรองๆไป
– การกินยาแก้อักเสบบ่อยๆ
– การกินยาสเตอรอยด์เป็นประจำ
ยังมีสาเหตุอย่างอื่นๆอีก แต่ขอไม่กล่าวถึง เพราะไม่ใช่สาเหตุที่สำคัญ เมื่อไม่ใช่สาเหตุที่สำคัญ เพื่อไม่ให้มันกว้างเกินไปจนคนที่ไม่มีพื้นทางการแพทย์สับสน เอาแค่หลักๆ 3 ข้อบน ก็เหลือเฟือแล้วครับ เดี๋ยวผมอธิบายคร่าวๆไปทีละข้อ
🔴 การกินหวาน (หวานคือคืออะไรบ้างก็คงไม่ต้องบอกอีก) จะทำให้เชื้อราในระบบทาง เดินอาหารเจริญเติบโตได้มาก…จนมากเกินไปเมื่อรามากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้ทางเดินอาหารอักเสบ…เกิดภาวะลำไส้รั่ว…การกินหวานเป็นสาเหตุอันดับ 1 (มากกว่า 80%) แต่บางทฤษฎีใหม่ๆ ไม่เชื่อว่าเกิดจากเชื้อราแต่เชื่อว่าเกิดจากตัวหวานโดยตรงเลยครับ ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ลำไส้อักเสบ…แล้วเราในฐานะผู้อ่านจะเชื่อใครดี ก็ในเมื่อเราไม่ใช่ผู้ที่ทำงานวิจัย ก็ไม่ต้องไปกังวลมาก เอาเป็นว่าที่แน่ๆก็คือเกิดจากการกินหวานแน่นอน 100% (ส่วนที่ว่าหวานทำให้เกิดเชื้อราแล้วราไปทำให้เกิดการอักเสบหรือว่าหวานจะทำให้อักเสบโดยตรง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกนักวิจัย…เค้าเถียงกันไปครับ)
🔴 การกินยาแก้อักเสบบ่อยๆ ทำให้เกิดลำไส้รั่วได้อย่างไร ต้องอธิบายกันนิดหน่อยก่อนว่า…ยาแก้อักเสบทั้งหลายที่เราท่านๆกินกันนั้นเป็นยาที่ฆ่าเฉพาะแบคทีเรีย ไม่ได้ฆ่าเชื้อรา โดยปกติในทางเดินอาหารแบคทีเรียและเชื้อราต่างฝ่ายต่างคอยคุมเชิงกันอยู่แล้ว เมื่อเรากินยาแก้อักเสบบ่อยๆ ก็จะทำให้แบคทีเรียถูกทำลาย คราวนี้เชื้อราก็จะฉวยโอกาสเจริญเติบโตมากๆเนื่องจากไม่มีแบคทีเรียคอยขัดขวาง ส่งผลให้เกิดการอักเสบและในที่สุดเกิดภาวะลำไส้รั่วตามมาครับ
🔴 การกินยาสเตอรอยด์เป็นประจำ สเตอรอยด์เป็นยาที่กดการทำงานของภูมิต้านาน ก็จะทำให้ทั้งแบคทีเรียและเชื้อราเจริญเติบโตได้ดี และเชื้อราก็จะฉวยโอกาสเจริญเติบโตมากๆ…ส่งผลให้เกิดลำไส้รั่วตามมาครับ อย่าเพิ่งงง…ว่าเวลาคนไข้โรคภูมิแพ้ภูมิไปโรงพยาบาลแล้วทำไมถึงได้ยาสเตอรอยด์มากิน สเตอรอยด์เป็นยาที่กดการทำงานของภูมิต้านทาน จำเป็นต้องให้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แต่ตัวสเตอรอยด์เองก็มีผลเสียที่เกิดตามมาก็คือลำไส้อักเสบ…เกิดภาวะลำไส้รั่วตามมา…ถ้าไม่ให้ใช้สเตอรอยด์…แล้วจะให้ใช้อะไรดีละใครอยากแก้ปัญหานี้ ช่วยไปทำวิจัยกันหน่อย…
ถ้าใครที่อ่านภาษาไทยไม่ค่อยถนัด ลองอ่านภาษาอังกฤษบ้างก็ได้นะครับ
Leaky gut syndrome(LGS) is a poorly recognized but extremely common problem. It is rarely tested for. Essentially. It represents a hyper-permeable intestimal lining. In other words. Spaces develop between the cells of the gut wall. And bacteria, toxins and food leak through.The official definition is an increase in permeability of the intestinal mucosa to luminal macromolecules, antigens and toxins associate with inflammatory degenerative and/or atrophic rucosal damage.
The Mucosal Barrier
The barrier posed by the intestinal mucosa is. Even in normal subjects, anincomplete one. Small quantities of molecules of different sizes and characteristics cross the intact epithelium by both active and passive mechanisms. The roule by which such transfer occurs is at least in part. dependent on molecules up to about 5,000 Daitons in size cross the epithelial membrane of the microvilli. Larger molecules may utilise an intercellular pathway or depend on being taken up by endocytosis entering the cell at the base of the microvilli.
How Does The Gut Become Leaky?
Once the gut lining becomes inflamed or damaged, this disrupts the functioning of the system. The spaces open up and allow large food antigens, for example. to be absorbed into the body sees only tiny food anitgens. When it sees these new. Larger ones. They are foreign to the body’s defence system. So the attack results in the production of antibodies against once hamless innocuous foods.
Isn’t Leakier Better?
It mignt sound good that the gut can become leaky. Because it would seem that the body would be better able to absorb more amino acids. Essential fatty acids. Minerats and vitamins. For the body the absorb a mineral it does not just slowly diffuse across the gut membrane it must be attached to a carrier proteins get damaged as well. So now the vitim is bulnerable to developing mineral and vitamin deficiencies.
The 7 stages of the “inflamed” gut.
1. When the gut is inflamed,it does not absorb nutrients and food properly and so fatigue and bloating can occur.
2. As mentioned previously,when large food particles are absorbed there is the creation of food allergies and new synptoms.
3. When the gut is inflamed the carrier proteins are damaged so nutrient deficiencies can occur.
4. Likewise when the detoxification pathways that line the gut are compromised. Chemical sensitivity can arise. Furthermore the leakage of toxins everburdens the liver so that the body is less able to handle everyday chemicals.
5. When the gut lining is inflamed the protective coating of lgA (immunoglobulin A) is adversely affected and the body is not able to ward off protozoa, bacteria, viruses and yeasts.
6. When the intestinal lining is inflamed, bacteria and yeasts are able to trans-locate. This means that they are able to pass from the gut lumen or cavity. Into the bloodstream and set up infection anywhere else in the body.
7. The worst symptom is the formation of antibodies. Sometimes these leak across and look similar to antigens on our own tissues. Consequently. When an antibody is made to attack it. It also attacks our tissue. This is probably how autommune disease start.
ถ้าอ่านมาถึงข้อ 7 … “The worst symptom” …และนี่คือที่มาของการเกิดโรคที่ภูมิต้านทานผิดปกติต่างๆเช่น ภูมิแพ้ต่างๆมากมาย (เช่นคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม หอบหืด ผื่นแพ้ตามตัว ลมพิษ) รวมถึงโรคที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิต้านทานต่างๆ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (หรือที่เรียกทั่วๆ ไปว่าโรคภูมิต้านทานทำลายเซลล์ตัวเองหรือโรคพุ่มพวงถ้าฝรั่งหน่อยก็เรียกว่า SLE ) ก็จะเข้าใจได้เลยว่าลำไส้รั่วทำให้เกิดโรคแพ้ภูมิได้อย่างไรครับ บางคนอาจจะบอกว่าลำไส้รั่วก็ดีนะเด่…ดูดซึมได้มากกว่าเดิม…ก็จริง…แต่ดันดูดซึมทั้งดีและเลวเข้าไปหมด อันนี้แหละที่เป็นอันตราย…แล้วก็เป็นอันตราย มากเสียด้วย…ไม่เชื่อก็ลองไปถามพวกที่ป่วยเป็นโรคภูมิต้านทานทำลายเซลล์ตัวเองดูซิ ว่าเค้าทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหน…
อาจมีบางคนอ่านอย่างละเอียด แล้วเกิดความสงสัยว่า “โรคภูมิแพ้” กับ “โรคแพ้ภูมิตัวเอง” มันคนละอย่าง โรคภูมิแพ้นั้นเกิดจากการที่ภูมิต้านทานทำงานมากเกินไป กับสิ่งที่ไม่ใช่เซลล์ของร่างกาย เช่น ไรฝุ่น ละอองเกศรดอกไม้ เขม่ารถ ฯลฯ…แต่โรคแพ้ภูมิตัวเองนั้น เกิดจากการที่ภูมิต้านทานทำงานมากเกินไปกับเซลล์ของร่างกาย ทำไมสาเหตุเดียวกัน จึงเกิดโรคต่างกัน… กลับไปอ่านข้อ 7 ใหม่ 7.The worst symptom is the formation of antibodies. Sometimes these leak across and look similar to antigens on our own tissues. Consequently. When an antibody is made to attack it. It also attacks our tissue. This is probably how autommune disease start. แปลเป็นไทยก็คือ “อาการที่เลวร้ายที่สุดก็คือ การสร้างภูมิต้านทานเกิดขึ้น…บางครั้งของที่รั่วเข้าไปในร่างกายเรา…ดันไปเหมือนหรือคล้ายมากๆกับเซลล์ในอวัยวะต่างๆของเรา เมื่อภูมิต้านทาน ถูกสร้างขึ้นมาให้โจมตีทำลายของเหล่านี้..ภูมิต้านทานก็เลยโจมตีทำลายเซลล์ในอวัยวะต่างๆของเราไปด้วย…นี่น่าจะเป็นที่มาของโรคแพ้ภูมิตัวเอง” และแล้วก็อาจมีบางคน…คิดอีกว่า…ทำไมภูมิต้านทานมันเซ่ออย่างนี้ว่ะ..โถ..ไม่ต้องไปว่ามันหรอกครับ…ก็เจ้าของร่างกายยังเซ่อซะปานนั้น…กินแต่ของเข้าไปทำลายตัวเองทุกวัน…แล้วจะให้ภูมิต้านทานมันฉลาดได้ยังไงเล่า…เอ้า…แซวเล่นเฉยๆพี่…อย่าโกรธเลยครับ
ส่วนโรคภูมิแพ้…ของที่รั่วเข้าไปในร่างกายเรา…ไม่เหมือนหรือคล้ายกับเซลล์ในอวัยวะต่างๆของเรา เมื่อภูมิต้านทานถูกสร้างขึ้นมาให้โจมตีทำลายของเหล่านี้…ภูมิต้านทานก็เลยโจมตีแต่ของเหล่านั้น…ไม่ทำลายเซลล์ในอวัยวะต่างๆของเราไปด้วย…นี่น่าจะเป็นที่มาของโรคภูมิแพ้…อธิบายคร่าวๆ แบบนี้ครับ แต่รายละเอียดย่อมมีมากกว่านี้อยู่แล้ว ถ้าใครอยากรู้มากกว่านี้ ก็สามารถเข้าไปอ่านตามเอกสารที่ผมอ้างอิงไว้ตั้งแต่ต้นได้ครับ…พอกันแค่นี้สำหรับโรคลำไส้รั่ว..
คำแนะนำสุดท้ายสำหรับโรคลำไส้รั่ว…สาเหตุ…
– การกินหวาน (ขนม ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม อันนี้รวมถึงนมวัวด้วย)…(ถ้าใครได้อ่านหนังสือเล่มแรกของผม “ทำไมคุณถึงป่วย” แล้วเคยสงสัยว่าทำไม “หวาน” ถึงทำให้เกิดโรคได้มากกมายขนาดนั้น วันนี้คงได้เห็นภาพคร่าวๆแล้วว่า “หวาน” ทำลายระบบภูมิต้านทานได้มากแค่ไหน)…
– การกินยาแก้อักเสบบ่อยๆ
– การกินยาสเตอรอยด์เป็นประจำ
ถ้าผู้ป่วยลดการกินของพวกนี้ลงได้…โรคก็น่าจะลดลงได้ ถ้าผู้ป่วยงดการกินของพวกนี้ได้ โรคก็น่าจะหายได้…ขอให้เก็บไปพิจารณาด้วยเหตุและผล…ผมขอยกประโยคที่ ดร.แนนซี่ แอปเปิ้ลตั้น กล่าวไว้ว่า “Health or disease, the choice is yours. You now have the information you need to choose wisely”…แปลเป็นไทยๆ แบบผม… “สุขภาพดีหรือป่วย…อยู่ที่คุณจะเลือกเอาเอง…ทำไมน่ะเหรอ…ก็เพราะว่าคุณมีข้อมูลเรียบร้อยแล้วถึงเวลาแสดงแล้วความคุณเลือกได้ฉลาดแค่ไหน”…หรือ…อย่างง่ายๆ “ป่วยไม่ป่วย…อยู่ที่คุณจะเลือก คุณรู้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว”…
ก่อนที่จะไปเรื่องภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำผมขอเพิ่มเติมข้อมูลเรื่องโรคลำไส้รั่วอีกเล็กน้อยเพื่อความสมบูรณ์ของเรื่องนี้ โรคลำไส้รั่วไม่ได้สร้างปัญหาเฉพาะเรื่องภูมิต้านทานเท่านั้น แต่ในตำราอื่นยังระบุถึงปัญหาที่เกิดกับระบบอื่นๆไว้ด้วยครับ
– ระบบทางเดินอาหาร..ปัญหา คือ ท้องอืด แก๊สเยอะ ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก
– ระบบสมองและประสาท…ปัญหาคือ อ่อนเพลียเรื้อรังตลอดเวลา วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน ความจำไม่ดี สมองดื้อๆ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ สมาธิสั้น อารมณ์รุนแรง
– ระบบภูมิต้านทาน…ก็อย่างที่ทราบไปแล้ว ภูมิแพ้และแพ้ภูมิโรคติดเชื้อต่างๆ ของระบบทางเดินหายใจ…ตลอดไปจนถึงเรื่องตกขาว
– สิว เชื้อราที่เล็บ
– อาการก่อนมีประจำเดือน เช่น อารมณ์แปรปรวน (ซึมเศร้าสลับก้าวร้าว) ปวดประจำเดือนมาก ฯลฯ
เอาละครับ..เตรียมตัวไปเจอเรื่องปวดหัวและสับสนเรื่องอื่นต่อไปได้แล้วครับ