อาการของผู้หญิงก่อนมีประจำเดือนที่พบบ่อยมีดังต่อไปนี้

– บวมตามเนื้อตัวทั่วๆไป
– เจ็บตึงเต้านมและท้องน้อย(รังไข่บวม)
– มีประจำเดือนเยอะ
– นอนไม่หลับ
– ปวดหัว
– วิตกกังวล
– ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน

ข้อมูลต่อไปนี้ส่วนใหญ่เอามาจากงานวิจัยของ Drs.Katherina Daltion and pay peat ซึ่งน่าจะเป็นคนที่รู้ข้อมูลเรื่องโปรเจสเตอโรนธรรมชาติและเอสโตรเจนธรรมชาติมากทีเดียวอย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงโปรเจสเตอโรนธรรมชาติ เพราะถ้าไม่ชี้แจงไว้ก่อนหลายคนอาจเข้าใจผิดได้ว่าโปรเจสเตอโรนสังเคราะห์ก็สามารถนำมาใช้แทนได้ โปรเจสเตอโรนสังเคราะห์มีผลข้างเคียงมากมาย เช่น
– ทำให้เกิดความผิดปกติกับเด็กที่อยู่ในครรภ์
– เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
– ทำให้รังไข่ไม่สามารถสร้างโปรเจสเตอโรนธรรมชาติได้ตามปกติ
– โปรเจสเตอโรนธรรมชาติสามารถป้องกันการแท้งได้ ตรงกันข้ามกับเอสโตรเจนที่ทำให้เกิดการแท้ง โดยเฉพาะช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ จากงานวิจัยของดร.เรย์ พีท แสดงให้เห็นว่าเอสโตรเจนฆ่าตัวอ่อนที่จะเป็นทารกโดยทำให้ขาดออกซิเจน ดังนั้นใครที่ไม่อยากแท้ง กรุณากลับไปอ่าน 8 ข้อที่กล่าวมาในหน้า 2 ครับ และควรที่จะอ่านหลายเที่ยวด้วยครับ ช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ จะได้หลีกเลี่ยงได้อย่างถูกต้อง
– โปรเจสเตอโรนธรรมชาติสามารถ ป้องกันการเกิดครรภ์เป็นพิษ (Toxemia of pregnancy)
– โปรเจสเตอโรนธรรมชาติยังทำให้สมองของเด็กในครรภ์พัฒนาดี
– โปรเจสเตอโรนธรรมชาติยังทำให้สุขภาพของเด็กในครรภ์ดีอีกด้วย
– โปรเจสเตอโรนธรรมชาติยังช่วยต้านความเสื่อมและความแก่ด้วย
– โปรเจสเตอโรนธรรมชาติยังช่วยต้านฤทธิ์ของเอสโตรเจนในเรื่องต่อไปนี้ เอสโตรเจนที่มากไปทำให้ ท้องผูก ไมเกรน เปลือกตาบวม (โดยเฉพาะเวลาตื่นนอน) สะสมไขมันเพิ่ม อ่อนเพลีย

โปรเจสเตอโรนธรรมชาติช่วยต้านฤทธิ์ของเอสโตรเจนเหล่านี้

โปรเจสเตอโรนธรรมชาติช่วยลดขนาดของเนื้องอกเต้านม (ในเด็กและผู้ใหญ่) ยกตัวอย่างของที่ทำให้เกิดเนื้องอกเต้านมในชีวิตประจำวันก็คือ นมวัว ไก่ เป็ด เนื้อวัวและเนื้อหมู เช่นตัวอย่าง เด็กอายุ 5 ขวบมีเต้านมโต เมื่อหยุดอาหารดังกล่าวหลายเดือน เต้านมก็เล็กลง อีกรายเป็นสาววัยรุ่นซีสต์ที่รังไข่ก็หายไป หลังจากใช้ 10% โปรเจสเตอโรนธรรมชาติร่วมกับการลดอาหารที่กระตุ้นเอสโตรเจน ดร.เรย์ พีท แสดงให้เห็นว่ามีงานวิจัยเป็นร้อยๆ รายงานว่าอาการของผู้หญิงก่อนมีประจำเดือนนั้นเป็นผลมาจาก “เอสโตรเจนเกิน ร่วมกับโปรเจสเตอโรนขาด” เป็นหลักใหญ่และส่งผลให้เกิดภาวะ “ไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ” ตามมาด้วย เนื่องจากเอสโตรเจนที่มากเกินจะไปกดการทำงานของไทรอยด์ฮอร์โมน

ถ้าเป็น ดร.เรย์ พีท หรือ ดร.ลิต้า ลี เค้าแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการใช้ครีม 3% โปรเจสเตอโรน ถ้าเป็นคนไทยใช้อะไรดี ถ้าเราไม่มีปัญญาไปหา ดร. ลิต้า ลี ก็คงต้องใช้โปรเจสเตอโรนธรรมชาติอย่างเดียวที่ผมรู้จัก็คือ “เมล็ดฟักทอง” แต่เมล็ดฟักทองก็มีข้อเสียที่ทุกคนต้องรู้ไว้ด้วย เท่าที่รู้ตอนนี้มี 2 ข้อ
1. มีคุณสัมบัติเป็นธาตุไฟ ถ้ากินมากๆอาจทำให้เกิดธาตุไฟกำเริบได้ เช่น แผลร้อนใน นอนไม่ค่อยหลับ รู้สึกเพลียง่าย
2. มีไขมันสูง อาจทำให้บางคนมีไขมันในเลือดขึ้นสูงได้ เลยต้องใช้วิธีกินๆ หยุดๆ เป็นพักๆ และยังมีรายละเอียดของแต่ละคนไม่เหมือนกันอีก ดังนั้นใครจะใช้ ขอคุยเป็นรายๆไปครับ

การตัดมดลูก (hysterectomy)

ทำไมเราต้องคุยถึงประเด็นนี้ เพราะการผ่าตัดนี้มักจะมีการเอารังไข่ (ซึ่งเป็นตัวสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน) ออกไปด้วย ทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะขาดฮอร์โมนเฉียบพลัน ข้อบ่งชี้ในการที่ต้องทำผ่าตัดมีดังต่อไปนี้ (บางประการ)
– มีประจำเดือนมากเกิน
– ปวดท้องมากเวลามีประจำเดือน
– มีเนื้องอกมดลูก (ถ้าไม่มีอาการอะไร มีโอกาสเป็นมะเร็งแค่ 0.3%)
– มีเนื้องอกมดลูกที่พิสูจน์ชิ้นเนื้อแล้วว่าเป็นมะเร็ง
– มีมดลูกโตแล้วทำให้เกิดปวดหลังเรื้อรัง หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยๆ

ถ้าใครที่อ่านรายงานนี้อย่างตั้งใจ จะสามารถเข้าใจได้เลยว่า ข้อบ่งชี้ในการทำผ่าตัดเกือบทั้งหมดเกิดจากภาวะที่ผู้หญิงคนนั้นมีเอสโตรเจนมากเกินไป ซึ่งอาจจะสามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับฮอร์โมนแบบที่เราได้พูดกันมาแล้ว เอาอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดได้อย่างสบายๆ

จากหนังสือ “FIBROID” (เนื้องอกมดลูก) ที่เขียนโดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ สก๊อตต์ ซี กู๊ดวิน และผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ไมเคิล โบรเดอร์ จาก UCLA School of Medicine ในปี 2003 มีข้อสรุปได้ดังนี้
– เนื้องอกมดลูกไม่ใช่มะเร็ง ไม่ได้เป็นสาเหตุของมะเร็ง และไม่ได้เพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง
– มักพบว่ามีพันธุกรรมเกี่ยวข้องกับคนที่ไม่เคยมีลูกมีโอกาสเป็นมากกว่า
– รอดู โดยตรวจทุกๆ 6-12 เดือนเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ยกเว้นว่ามีอาการที่จำเป็นต้องรักษา เช่น มีประจำเดือนมากๆ ปวดท้องมาก มดลูกไปกดกับกระเพาะปัสสาวะทำให้ฉี่บ่อย
– อาจมีบางโรคที่เข้าใจผิดว่าเป็นเนื้องอกมดลูก เช่น ซีสต์ที่รังไข่โพลิปที่มดลูก
– ผู้หญิงที่มีเนื้องอกมดลูกสามารถตั้งครรภ์ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
– ขนาดของเนื้องอกมดลูกสามารถเท่าเดิมหรือเล็กลงหลังจากเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน
– ยาสามารถควบคุมอาการและทำให้เนื้องอกเล็กลงได้ แต่อาจมีอันตรายถ้าใช้ระยะยาว
– ความเครียดมีผลต่อเนื้องอกมดลูกได้

ผมแปลภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง เอาต้นฉบับมาให้ดูด้วย
DIAGNOSED WITH FIBROID? LEARN THE FACTS
– Fibroids are no cancer don’t cause cancer, and they do not even increase the risk of having cancer.
– Fibroids have a tendency to run in families, and women who have never had children are more likely to develop them.
– Watchful waiting is the best strategy, unless you already have symptoms that need treatment.
– Other conditions can be mistaken for Fibroids, adenomyosis, ovarian cysts, and uterine polyps.
– Most women with fibroids can get pregnant and carry to them withcut difficulty.
– Fibroids and stabilize or shrink especially after menopause.
– Drugs can sometimes shrink fibroids and control symptoms but may be harmful if used long term. – Stress levels can affect fibroids.

การป้องกันกระดูกผุ Osteoporosis Reversal “ดร.เรย์ พีท และ ดร.จอห์นลี ได้ทำการวิจัยพบว่าโปรเจสเตอโรนธรรมชาติสามารถแก้ไขอาการกระดูกผุ ได้ดีกว่า เอสโตรเจน และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ามาก”

สรุปอันตรายที่เกิดจากเอสโตรเจนเกิน (ซึ่งโปรเจสเตอโรนให้ผลตรงกันข้าม)

– มีประจำเดือนเร็ว (ต่ำกว่าอายุ 13 ปี)
– สัดส่วน มีขาสั้น สะโพกผายมาก
– ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ
– ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง มีอาการก่อนมีประเดือนรุนแรง มีประจำเดือนมากหรือน้อยเกิน หรือมีประจำเดือนมาไม่ตรงเวลา ท้องยาก แท้งง่าย ผมร่วง มีหนวด มีอาการซึมเศร้าหลังคลอด
– ฝ้า กระ
– เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคถุงน้ำดี
– เพิ่มโอกาสกระดูกผุ
– ผลเสียต่อหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดปกติ หลอดเลือดแข็ง ลิ่มเลือดอุดตัดหลอดเลือด
– โรคลมชัก (โดยเฉพาะช่วงที่มีการตกไข่และมีประจำเดือน)
– ปัญหาของเต้านม มดลูกและรังไข่ เช่นเป็นเนื้องอกหรือซีสต์
– มะเร็งทุกชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งฯลฯ
– ไมเกรน
– อ้วนง่าย
– การนำพาออกซิเจนในร่างกายไม่ดี (hypoxia)
– ปวดกล้ามเนื้อ (fibromyalgia)
– ผลต่อผิวหนังเหมือนกับสารสเตอรอยด์ ทำให้ผิวหนังบาง
– ทำให้โรคต่อไปนี้รุนแรงขึ้นมา ภูมิต้านทานทำลายเซลล์ตัวเอง ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคถุงน้ำดี ภูมิแพ้ ประสาทตาอักเสบ ต้อหิน เส้นประสาทอักเสบ เบาหวาน เส้นเลือดรอด บวม อ้วน
– เพิ่มปัญหาทางจิตใจและอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว วิตกกังวล กลัวการไปอยู่ในที่สาธารณะ (fear of public place) ความจำไม่ดี

เรื่องปัญหาของผู้หญิง ผมคงไม่ยกตัวอย่างครับ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งผมกำลังบรรยายเรื่องนี้อย่างสนุกสนาน ระหว่างนั้นมีผู้ฟังท่านหนึ่งเป็นผู้หญิง ท่านแซวผมว่า “หมอบรรยาย…อย่างกะเคยมีเมนส์เองเลยนะ” ไม่มั่นใจจริงๆครับ ว่าถูกชมหรือถูกแด็ก แต่ขอยืนยันว่าผมไม่เคยมีเมนส์ครับ แต่มีผู้ป่วยมาขอคำแนะนำเป็นผู้หญิงเยอะมาก ผมเลยต้องค้นคว้าหาข้อมูลมาช่วยบรรเทาปัญหาของท่านเหล่านั้น แต่ก่อนจะจบเรื่องนี้ มีแนวทางบางอย่าง ที่ค่อยข้างปลอดภัยให้ท่านผู้หญิงทั้งหลายลองไปพิจารณาดูถ้าท่านมีปัญหาเรื่องปวดท้องเมนส์ จนต้องกินยาแก้ปวดแรงๆ ทั้งหลายนั่นนะครับ แสดงว่าท่านกำลังมีปัญหากับเอสโตรเจนแล้ว ขอให้ย้อนกลับไปอ่านอีกรอบหนึ่งว่าอะไรกระตุ้นให้มีเอสโตรเจนในตัวท่านมาก ก็ควรไปลดๆลงบ้าง หรือถ้าเดือนนี้ลดไม่ทันแล้ว เพราะว่าเหลืออีก 5 วัน จะมีเมนส์แล้ว
แนะนำให้ทำตามนี้เริ่มกินทันที
1. กินเมล็ดฟักทองที่ 7-11 ซองละ 13 บาท กินวันละ 1 ซอง จนกระทั่งมีเมนส์แล้วหยุดกิน
2. กินแคลเซียมเม็ดที่มีขายตามร้ายขายยา วันละ 1 เม็ด ไปจนกระทั่ง หมดเมนส์แล้วหยุดกิน
3. กินไบโอแมกนีเซียมครั้งละ 1 เม็ดวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและเย็น ไปจนกระทั่งหมดเมนส์แล้วหยุดกิน
ทำ 3 ข้อตามนี้ คุณผู้หญิงอาจแปลกใจมากเลยว่าทำไมที่เคยปวดเมนส์จนตัวแทบงอ เดือนนี้มันปวดน้อยมาก อย่างน้อยมันอาจพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดแรงๆ(แถมบางทีกัดกระเพาะอีกต่างหาก) ก็สามารถทำให้อาการปวดเมนส์กลายเป็นเรื่องเล็กๆไปได้ อ่านให้ดีๆ นะครับว่าให้กินอะไร เมื่อไหร่ และหยุดกินเมื่อไหร่ ไม่ใช่ให้กินเรื่อยเปื่อยนะครับวิธีแก้ปัญหาของผู้หญิงง่ายจะตาย เลิกกินหรือยุ่ง(อย่างน้อยก็ลดลง) เกี่ยวกับต้นเหตุของเรื่องเอสโตรเจน ก็โอเคแล้วครับ

***เอกสารนี้จะมีความถูกต้องเพียงใดขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาจากต่างประเทศ ขอให้ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ไม่ควรเชื่อในทันทีทันใดควรเก็บไว้ไตร่ตรองนานๆ ร่วมกับการสังเกตตัวเองและผู้อื่น สุดท้ายท่านจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าเรื่องไหนมีความน่าจะถูกต้อง

วิธีพิสูจน์ง่ายๆว่าหนังสือเล่มนี้ มีสาระมั้ย ก็คือ ถ้าคุณมีอาการใดๆที่ตรงกับหนังสือเล่มนี้ อย่าลืมว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เรียกร้องให้คุณดิ้นรนไปหาอะไรมากินเพิ่ม แต่หนังสือได้บอกไว้ชัดเจนว่าอะไรเป็นต้นเหตุของอาการนั้นๆ วิธีแก้ไขก็คือเลิกกินหรือยุ่งกับสิ่งนั้นๆ (ไม่ได้ทำให้คุณต้องเสียตังค์เพิ่มเลย) นานประมาณ 1 เดือน ถ้าอาการดังกล่าวดีขึ้น ก็ลองทำต่อไปอีกซัก 1 เดือน ถึงตอนนั้นคุณก็จะเข้าใจได้ด้วยตัวคุณเอง แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ เอาหนังสือไปชั่งกิโลขายได้เลยครับ

ขอทำความเข้าใจกันอีกครั้ง เกี่ยวกับหนังสือ “ทำไมคุณถึงป่วย” อย่าได้คิดว่าผมห้ามกินผลไม้ ห้ามกินอาหารที่ผ่านไมโครเวฟ ห้ามกินนม ห้ามกินน้ำเต้าหู้ ห้ามกินเค้ก คุกกี้ ขนมปัง ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า “ไม่ได้ห้ามกิน” แต่จุดประสงค์ของหนังสือเล่มนั้น เพื่อนำเสนอข้อมูลอีกด้านอีกมุมให้พวกคุณๆ ได้รับรู้ไว้บ้าง แทนที่ข้อมูลอื่นๆที่คุณถูกกรอกหูและยัดเยียดให้ทราบอยู่ทุกวัน ส่วนพวกคุณๆ จะพิจารณาตัดสินใจอย่างไร เป็นหน้าที่ของพวกคุณทุกคนเองครับ อยากกินอะไรน่ะเหรอ กินได้หมดแหละครับ ไอ้ที่ดีๆ ก็กินมากหน่อย ไอ้ที่เลวๆ ก็กินน้อยๆ หน่อย..ไง

อยากถามว่า “สับสนไหมครับ” เพราะอาการโรคบางอย่าง เกิดได้จากหลายสาเหตุ และสาเหตุบางอย่างทำให้เกิดได้ตั้งหลายโรค ไม่ต้องสับสนหรอกครับ เรื่องความเจ็บป่วยก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ในโลกใบนี้ครับ บางทีเหตุการณ์หนึ่งๆก็เกิดจากหลายๆ สาเหตุร่วมกัน และบางทีหนึ่งสาเหตุก็ทำให้เกิดได้หลายๆ เหตุการณ์เหมือนกัน ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปครับขอขอบคุณทุกท่านทีทนอ่านมาจนถึงหน้านี้ได้… ทำไมผมถึงเลือก 3 กลุ่มโรคนี้มาอธิบาย..ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่มาหาผมวนเวียนอยู่ใน 3 กลุ่มโรคนี้ครับ ลองอ่านแล้วไปพิจารณาดูครับ

มีคำกล่าวที่น่าสนใจ 5 ข้อดังนี้
1. “Progress is impossible without change, and those who can not change their minds, can not change anything” โดย George Bernard Show “ความก้าวหน้าจะไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนที่เปลี่ยนความคิดตัวเองไม่ได้ ก้าวหน้าไม่ได้
2. “illness is a signal to change” โดย Sidney M. Baker M.D. “ความเจ็บป่วยเป็นสัญญาณเดือนว่า คุณต้องเปลี่ยนแปลง”
3. “I assure you: you may find following the diet confusion and tiresome” โดย James Braly M.D. “รับประกันได้เลยว่า คุณจะพบว่าเรื่องโภชนาการ เต็มไปด้วยความสับสน”
4. “For better health ; what to quit, not what to eat more” โดย น.พ. เปี่ยมโชค ชลิตาพงศ์ “ถ้าต้องการมีสุขภาพดี ควรเริ่มต้นว่าจะต้องเลิกกินอะไร ไม่ใช่ถามว่า ต้องกินอะไร”
5. ประโยคที่ ดร.แนนซี่ แอปเปิลตั้น กล่าวไว้ว่า “Health or disease, the choice is yours. You now have the information you need to choose wisely” แปลเป็นไทยๆ แบบหมอเปี่ยมโชค “สุขภาพดีหรือป่วย…อยู่ที่คุณจะเลือกเอาเอง..ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าคุณมีข้อมูลเรียบร้อยแล้วถึงเวลาแสดงแล้วว่าคุณเลือกได้ฉลาดแค่ไหน” หรืออย่างง่ายๆ “ป่วยไม่ป่วย อยู่ที่คุณจะเลือก คุณรู้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว” เรามีข้อมูลไว้บริหารจัดการเพื่อลดความเสี่ยงของตัวเอง ไม่ใช่เอาไว้กลุ้มเกินกว่าเหตุ อะไรเลี่ยงได้ อะไรเลี่ยงไม่ได้ก็ทำใจไปก่อน